ตลอดระยะเวลา 6 เดือนรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 บริหารประเทศเน้นหนักอยู่ 2 ประเด็น คือ 1.ปกป้องช่วยเหลือ “นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร”ที่เดินทางกลับเข้าประเทศไทยเพื่อรับอาญาตามคำพิพากษาศาลจำคุก 8 ปี โดยไม่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำแม้สักวัน แถมได้รับการพักโทษหลังเล่นละครป่วยทิพย์ 180 วันอีกต่างหาก
อีกประเด็นที่มุ่งมั่นคือ ผลักดันดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเรือธง นโยบาย “แจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไปคนละ 10,000 บาท” เสมือนการเพิ่มรายจ่ายเพื่อการบริโภคในระยะสั้น ผ่านการโอนเงินจากรัฐสู่ประชาชนเพื่อจับจ่ายใช้สอยมูลค่าโครงการกว่า 5 แสนล้านบาท
เมื่อไม่สามารถเจียดเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณได้ รัฐบาลก็เดินหน้าอย่างมิสนใจสิ่งอื่นใดโดยเฉพาะเสียงติติงคัดค้านจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง องค์กรเศรษฐกิจทั้งภาครัฐและเอกชน
รัฐบาลพยายามสร้างมายาคติตอกย้ำว่า ประเทศไทยกำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้อัตราการเติบโตช้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูพฤติกรรมพฤติการณ์ที่รัฐบาลปฏิบัติ มุ่งแต่ตอกย้ำว่า ต้อง สร้างพายุหมุนกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วน
กระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลกล่าวถึงน่าจะคือชุดมาตรการที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางนำมาใช้เพื่อแทรกแซงเศรษฐกิจที่กำลังมีปัญหาการฝืดเคือง กระตุ้นเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นนโยบายนี้จะใช้กับเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงที่เรียกว่า “Recession” หรืออาจใช้กับช่วงที่เจอปัญหาทางเศรษฐกิจฉับพลันอย่างไฟไหม้ป่า, โรคระบาด หรือฟองสบู่แตก และชุดมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจคือการสร้างพายุหมุนด้วยนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (ดิจิทัล วอลเล็ต)
โครงการแจกเงินดิจิทัลที่ว่านี้ เปรียบเสมือนการเพิ่มรายจ่ายเพื่อการบริโภคในระยะสั้น ผ่านการโอนเงินจากรัฐสู่ประชาชนเพื่อจับจ่ายใช้สอยมูลค่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดที่มีการนำเสนอสู่สังคมไทย จะอาศัยแหล่งเงินจากการกู้ยืมสถาบันการเงินภาครัฐ และใช้การปรับลดงบประมาณด้านรายจ่ายเพื่อการลงทุนของรัฐ ซึ่งผลจากการกู้ยืมเงินจะเป็นการสร้างอุปสงค์ส่วนเพิ่มในระบบเศรษฐกิจ ส่วนการปรับจากรายจ่ายเพื่อการลงทุนเป็นรายจ่ายเพื่อการบริโภคจะทำให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น เพราะการใช้จ่ายผ่านเงินโอนสู่ภาคเอกชน จะเกิดขึ้นทันที ในขณะที่รายจ่ายด้านการลงทุนจะค่อยทยอยจ่ายตามการอนุมัติโครงการก่อสร้าง ซึ่งมีขั้นตอนในการดำเนินงานตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการและข้อกฎหมายต่างๆ
ดังนั้น สิ่งที่คาดหวังจากนโยบายลักษณะนี้คือการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศและผลสืบเนื่องต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่านตัวทวีคูณ ทว่า ตัวทวีคูณของนโยบายภาครัฐ หาความแน่นอนไม่ได้ เพราะขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วง เช่น อัตราดอกเบี้ย ค่าเงินบาท ช่องว่างผลผลิต และรัฐต้องไม่ลืมว่าเม็ดเงินจำนวน 10,000 บาทที่แจกกับประชาชนไปนั้น จะเพิ่มร้อยละของรายได้ไม่เท่ากัน กับผู้มีรายได้น้อยซึ่งเงินหมื่นบาทมีค่ากับการใช้จ่ายมากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงซึ่งการมีเงินเพิ่มขึ้นหมื่นบาทมีผลน้อยต่อการใช้จ่าย ทว่า หากมีการโอนเงินให้กับผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น ผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมจะมีไม่มากเท่าการเพิ่มรายได้ของทุกคนพร้อมๆ กัน ดังนั้นการเพิ่มหนี้สาธารณะมีผลต่อการลดลงของค่าใช้จ่ายในอนาคตซึ่งต้องนำไปจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ย และมีผลต่อความเสี่ยงทางการคลังของประเทศไทยในภาพรวม
เรามองว่าในขณะที่รัฐบาลมุ่งมั่นดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการตราพระราชบัญญัติกู้เงินจำนวน 500,000 ล้านบาท เพิ่มหนี้สาธารณะ ทว่า ชาติเพื่อนบ้านอาเซียนอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการประชาสงเคราะห์เพื่อให้จีดีพีโตขึ้น
แจกบัตรกำนัลช้อปปิ้งให้ประชาชนครัวเรือนละ 600ดอลลาร์สิงคโปร์หรือราว 16,000 บาท โดยแบ่งแจกเป็นสองรอบในเดือนมิถุนายนและมกราคม หน้า (บรรจุอยู่ในร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2567 (2024) ขณะที่มาเลเซียให้ความช่วยเหลือประชาชนด้วยงบประมาณ 10 ล้านริงกิต โดยที่รัฐบาลทั้งสองไม่ก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม ไม่กู้เงินมาดำเนินโครงการ รัฐบาลสิงคโปร์และมาเลเซียไม่ได้แค่แจกเงินกลุ่มคนเปราะบาง แต่ขณะเดียวกันก็ขึ้นภาษีเพื่อเพิ่มรายได้เข้ารัฐด้วย
สิงคโปร์จะขึ้นภาษีสินค้าและบริการเป็น 9%จาก 8% สิงคโปร์ยังจะปรับตัวให้สอดคล้องกับกรอบการทำงานระหว่างประเทศในการปฏิรูปกฎเกณฑ์ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการเก็บภาษีที่ไม่สอดคล้องกันในประเทศ ด้วย การปฏิรูปที่ว่านี้ออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าจะเป็นแรงจูงใจให้กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ให้มาลงทุนและเปิดศูนย์ปฏิบัติการที่สิงคโปร์ นอกจากเรื่องปฏิรูปด้านภาษีแล้ว สิงคโปร์ที่ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็จะลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อเสริมสร้างความสามารถและการพัฒนาอุตสาหกรรมในด้าน AIเป็นการเฉพาะ ส่วนมาเลเซียเตรียมขึ้นภาษีบริการเป็น 8% จาก 6%
ในวันที่เพื่อนบ้านเร่งดันให้จีดีพีของประเทศขยายตัวด้วยแนวคิดที่ไม่แตกต่างจากรัฐบาลไทย แต่แนวทางและวิธีปฏิบัติช่างแตกต่างกันนัก ไม่ใช่แค่การติดอาวุธให้ประชาชนเท่านั้นแต่เพิ่มศักยภาพให้ประเทศสามารถขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยไม่ต้องพะวงหลังด้วย
แล้วราชอาณาจักรไทยจะขยายตัวทางเศรษฐกิจแข่งขันกับเขาได้อย่างไร เมื่อเพื่อนบ้านเริ่มต้นด้วยเศรษฐกิจบวกบวก ขณะที่ราชอาณาจักรไทยพร้อมรบด้วยการเพิ่มหนี้สาธารณะเยี่ยงนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี