หลังจากพรรคไทยรักไทยครองอำนาจรัฐเมื่อปี 2544 เป็นต้นมา ก็เกิดความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2548 เป็นความขัดแย้งที่ยาวนานมากระดับเดียวกันกับความขัดแย้งครั้งก่อนหน้าในเรื่องคอมมิวนิสต์ที่เกิดการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธตั้งแต่ปี 2508 และยุติลงด้วยนโยบาย 66/2523 โดยมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก นับเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงและยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ
ความขัดแย้งทางการเมืองรอบที่สองเริ่มขึ้นในปี 2548 โดยมีการกล่าวหาว่ามีการตั้งระบอบทักษิณขึ้นปกครองบ้านเมืองและเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและตั้งตนเป็นเผด็จการทางรัฐสภาด้วย
มีการระดมมวลชนเข้ามาต่อสู้กันทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เหตุการณ์รุนแรงขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่ความขัดแย้งก็ยังดำเนินต่อไปหลังการรัฐประหารและมีการเลือกตั้ง ระบอบทักษิณก็ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งตลอดมา เพราะได้ผ่านการอบรมศึกษาวิชาการจัดตั้งมาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนตั้งแต่ปี 2545
ความขัดแย้งคุกรุ่นขยายตัวต่อไป จนในที่สุดก็มีการยุบพรรคการเมือง มีการปลดนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง แต่ปัญหาก็ไม่สามารถยุติลง จนในที่สุดก็มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรัฐประหารได้นิรโทษกรรมความผิดให้กับตัวเอง แต่เดินหน้าดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ต่อสู้กัน
คณะรัฐประหารได้ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและร่างรัฐธรรมนูญแบบสืบทอดอำนาจขึ้น วางกลไกองค์กรอิสระไว้อย่างแน่นหนา ที่สามารถกำจัดฝ่ายที่เห็นต่างให้พ้นวิถีทางได้อย่างง่ายดายมีการตั้งขบวนการรบทางสื่อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเคลื่อนไหวชี้หน้าว่าคนอื่นที่เห็นต่างว่าเป็นพวกชังชาติ ชังเจ้า
เป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาคลุกกับความขัดแย้งทางการเมืองอย่างชัดเจนที่สุด ตั้งตนเป็นผู้พิทักษ์ธงเหลือแต่ผู้เดียว ใครเห็นต่างก็ต้องทำลายล้างให้สูญสิ้นไป มีผู้คนถูกตราหน้าว่าเป็นพวกชังชาติ ชังเจ้า จำนวนมาก โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องมาเกี่ยวข้องในความขัดแย้งที่คนเหล่านี้ได้สร้างขึ้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ถึงขนาดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีกระแสพระราชดำรัสด้วยพระองค์เองว่าทรงรักประชาชนทุกคนทุกฝ่ายเสมอกัน และกำหนดพระบรมราโชบายชัดเจนว่าจะไม่ใช้กฎหมาย มาตรา 112 กับพสกนิกรของพระองค์ ซึ่งจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ลอยตัวอยู่เหนือการเมือง เป็นที่เคารพสักการะไปชั่วนิจนิรันดร์
แต่บางพวกก็ไม่ยอมลดราวาศอก ยังคงกอดธงเหลืองไว้แน่น และใช้ธงเหลืองทุบตีผู้คน สร้างศัตรูไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้ผู้คนจำนวนมากถูกทำร้ายด้วยธงเหลืองนี้ กระทั่งครอบครัวและสังคมเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงโดยทั่วไป
ในยามนั้นก็เกิดพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ขึ้นคือพรรคอนาคตใหม่ และพรรคนี้ก็มีจุดอ่อนใหญ่หลวง คือตั้งธงเผชิญหน้าให้ถูกกล่าวหาได้ว่าเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงถูกตราหน้าว่าเป็นพรรคชังชาติ ชังเจ้า มุ่งหมายจะล้มเจ้า ทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนถูกบั่นทอนให้เบาบางลงโดยไม่จำเป็น
นับเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาและอ่อนหัดของพวกความคิดซ้ายจัด ที่พาเอาขบวนการของคนรุ่นใหม่ให้อ่อนแอลงแต่เนื่องจากทิศทางการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับยุคสมัยที่เป็นไป ดังนั้นจึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
เพราะเห็นว่าจะเป็นอันตรายร้ายแรง ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่จึงถูกยุบด้วยพลังอำนาจของขบวนการไสยศาสตร์ทางกฎหมาย หวังจะให้มลายหายไปจากวงการเมือง แต่วิญญาณทางการเมืองนั้นไม่อาจถูกทำลายด้วยวิธีการแบบนี้เหมือนกับที่พรรคอื่นๆ เคยถูกยุบมานักต่อนักแล้ว
ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่จึงจำแลงแปลงร่างมาเป็นพรรคก้าวไกลและได้รับความเห็นใจจากประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศ เกิดเป็นกระแสนิยมพรรคก้าวไกลอย่างครึกโครม สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้แก่ปรปักษ์ทางการเมือง แต่ยิ่งตกใจเท่าใดก็ยิ่งถือว่าพรรคก้าวไกลเป็นอันตรายมากเท่านั้นจะต้องฟาดฟันให้บรรลัยไปข้างหนึ่ง
แต่ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ดังนั้นเมื่อการเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 มาถึง พรรคก้าวไกลซึ่งถูกรุมล้อมรุมตีทุกรูปแบบกลับได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้ได้รับชัยชนะเลือกตั้งเป็นลำดับหนึ่ง มีสิทธิ์ที่จะจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนขึ้นตามระบอบประชาธิปไตย
ทำให้กระแสการโจมตีพรรคเพื่อไทยซึ่งหนักหนาไม่แพ้กันหยุดหายไปในพริบตา สรรพกำลังทั้งหลายถูกโหมมาทำลายพรรคก้าวไกลอย่างคึกคัก จนในที่สุดก็เกิดกรณีเฉดหัวพรรคก้าวไกลออกนอกอำนาจรัฐ และสมคบกันเชิญนายทักษิณชินวัตร กลับมาประเทศไทย และให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
โดยไม่เฉลียวใจเลยว่านี่คือยักษ์ทางการเมืองตัวจริงที่อดีตถูกกำจัดออกไปด้วยอำนาจของกองทัพคือการรัฐประหารถึงสองครั้ง ในขณะที่มาตรการอื่นไม่ว่าการยุบพรรคหรือการปลดนายกรัฐมนตรีไม่ระคายผิวทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเลย
และในพลันที่พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลขึ้นก็สามารถกระชับอำนาจอย่างรวดเร็วด้วยประสบการณ์ที่มีมายาวนาน นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศอย่างสง่างาม โดยมีพระบรมราชโองการที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอรับพระราชทานอภัยโทษไว้ให้ เพื่อให้นายทักษิณ ชินวัตร กลับมาใช้ประสบการณ์ช่วยเหลือบ้านเมือง
ณ วันนี้ พรรคเพื่อไทยหรือฐานอำนาจทางการเมืองที่ทรงพลังและมีอำนาจมากที่สุด มีประสบการณ์มากที่สุดจึงครองอำนาจรัฐอย่างสมบูรณ์แบบ จึงเกิดปรากฏการณ์ชุมนุมสามนายกรัฐมนตรีขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่อันแสดงให้เห็นศูนย์กลางอำนาจรัฐของประเทศนี้ว่าอยู่ที่ใครอย่างชัดเจน
สภาพดังกล่าวได้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงและความตกใจกลัวให้แก่ขบวนการหลงชาติ หลงเจ้า จึงรีบเคลื่อนไหวทวงอำนาจคืนจากพรรคเพื่อไทย หวังให้เปลี่ยน
นายกรัฐมนตรี เปลี่ยนรัฐบาล ทำราวกับว่าบ้านเมืองเป็นของเด็กเล่น ซึ่งไม่มีทางสำเร็จ แต่จะทำให้ความขัดแย้งขยายตัวไปอีกขั้วหนึ่ง
สภาพวันนี้ของคนพวกนี้จึงไม่ต่างกับการตกอยู่ในสภาพหนีเสือปะจระเข้ ซึ่งทั้งเสือและจระเข้กำลังเรืองฤทธานุภาพมากขึ้นโดยลำดับ เสือก็เข้าถึงป่า จระเข้ก็ลงน้ำลึกไปแล้ว มีแต่จะมีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นมหาศาล จึงต้องติดตามดูว่าคนปัญญาอ่อนที่หลงทางเข้าป่าหรือพลาดท่าลงน้ำจะมีชะตากรรมอย่างไรต่อไป
แต่คนทั้งหลายอย่าเพิ่งเสียขวัญกำลังใจ ขอให้เชื่อมั่นเถิดว่าบ้านเมืองนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง อำนาจทั้งปวงเป็นของราษฎรผู้ภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และอำนาจรัฐไม่สามารถได้มาด้วยการเบียดเบียน เบียดบัง หรือใช้ความรุนแรงแย่งเอาได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี