ในช่วงประวัติศาสตร์ระยะใกล้ของประเทศไทยมีความขัดแย้งใหญ่สองระยะเกิดขึ้น คือระยะแรกระหว่างปี 2508-2526 รวม 18 ปี และระยะที่สองตั้งแต่ปี 2548-2566 รวม 18 ปีเช่นเดียวกัน และจนบัดนี้แม้จะเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2566 แล้ว แต่ความขัดแย้งใหญ่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง ซึ่งหมายความว่าความขัดแย้งรอบหลังนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติลงได้
พวกหนึ่งต้องการกระชับอำนาจให้เป็นแบบเก่าที่เคยมีอำนาจอยู่ ถึงขนาดลำพองประกาศว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งเป็นการท้าทายที่โจ่งแจ้งรุนแรงที่สุด เพราะแบบเก่าที่เคยเป็นนั้นคือต้นเหตุของความขัดแย้งใหญ่ และมีการต่อสู้ทุกรูปแบบกันมาถึง 18 ปีแล้ว ถึงขนาดยุบพรรค 2 ครั้งปลดนายกรัฐมนตรี 3 ครั้ง และรัฐประหาร 2 ครั้ง ถ้ายังไม่สำเหนียกกันก็จะต้องมีการยึดอำนาจครั้งที่ 3 อย่าได้สงสัยเลย
ความขัดแย้งในรอบ 18 ปีหลังนี้ใหญ่หลวงนักเป็นความเสียหายหลากหลายใหญ่หลวงในทุกด้าน ทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม เกิดความแตกแยกรุนแรงร้าวลึกลงไปถึงฐานรากของสังคมไทย กระทบไปถึงสถาบันสูงสุดของประเทศด้วย เพราะถูกดึงลงมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทำลายล้างกัน และเวลายิ่งเนิ่นนานไปบรรดากาฝากก็บังเกิดขึ้นและเจริญเติบโตในทุกแหล่งอำนาจ จนน้ำหนักและความใหญ่โตของกาฝากนั้นกำลังเป็นภาระใหญ่หลวงที่ประชาชนไม่สามารถทนแบกได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นปัญหาซ้ำเข้ามาอีก
ขณะนี้มีการเสนอแนวความคิดก้าวข้ามความขัดแย้งเริ่มต้นประเทศไทยใหม่ โดยให้นิรโทษกรรมแก่ทุกฝ่าย มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และคณะอนุกรรมาธิการเห็นว่าจำเป็นต้องตรากฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ทุกฝ่าย โดยไม่รวมความผิดที่กระทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เป็นความเห็นของคณะอนุกรรมาธิการ โดยไม่เคยคำนึงถึงหรือขอเข้าเฝ้าฯ ขอรับพระราชทานกระแสพระราชดำริเลยแม้แต่น้อย นับเป็นการบังอาจอย่างหนึ่งที่สมควรต้องติเตียนไว้ในที่นี้ เพราะเท่ากับดำรงความขัดแย้งไว้ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ให้จบสิ้นลง โดยมิได้คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าอยู่ใต้ฟ้าแต่ไม่รู้จักฟ้า มิหนำซ้ำ สิ่งที่ทำอาจเป็นเหตุให้คนทั้งหลายรุมกันด่าว่าฟ้าไม่ทรงธรรม
บทเรียนทั้งหลายย่อมมีค่าแก่ผู้ใฝ่ใจศึกษา และเป็นประโยชน์ต่อผู้ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ในเรื่องนี้เราก็มีบทเรียนที่อุดมสมบูรณ์ นั่นคือบทเรียนของการแก้ไขความขัดแย้งรอบแรกที่เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งถือว่าเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะเป็นความขัดแย้งในเชิงอุดมการณ์และรากฐานสังคมไทย ถึงขนาดทำการต่อสู้กันด้วยกำลังอาวุธประสานกันทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่เห็นด้วยช่วยกันได้เปิดการต่อสู้ด้วยอาวุธและขยายวงออกไปถึง 47 จังหวัด ขยายการจัดตั้งมวลชนและเข้ามายังทุกสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ มีผู้เสียชีวิตจากการต่อสู้ด้วยอาวุธเฉพาะฝ่ายเจ้าหน้าที่ปีละถึง 1,400 คน และ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จฯไปพระราชทานเพลิงศพกันตลอดเวลา
ในระหว่างประเทศก็มีความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านและระดับมหาอำนาจของโลกด้วย แต่ในที่สุดความขัดแย้งก็สิ้นสุดลงด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณต่อพสกนิกรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9พระราชทานพระราชกระแสแก่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ว่าความขัดแย้งต่อสู้กันด้วยอาวุธดำเนินมานานเต็มทีแล้วไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จสิ้นลง จำเป็นต้องแสวงหาหนทางสันติคือให้ความเมตตาแก่ทุกคน หยุดความขัดแย้งทั้งหมดให้ทุกคนกลับคืนสู่สังคม ทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของประเทศต่อไป
รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็รับพระราชกระแสและมอบให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รับผิดชอบปฏิบัติ จนกระทั่งมีคำสั่งนโยบาย 66/2523 ให้ทุกคนกลับคืนสู่สังคมอ้อมอกพ่อแม่และสังคมไทยเพื่อร่วมกันพัฒนาชาติไทย โดยไม่ถือว่ามีโทษทัณฑ์ในความผิดทุกประเภท แม้กระทั่งความผิดฐานฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ
หรือใช้อาวุธปืนยิงใส่ขบวนเสด็จฯ จนเป็นเหตุให้ข้าราชบริพารคนสำคัญเสียชีวิตมาแล้ว
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รับสนองพระราชกระแสอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็สัมฤทธิผล สามารถยุติความขัดแย้งได้อย่างสิ้นเชิง พี่น้องชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่มีความขัดแย้งกันได้วางอาวุธและกลับเข้าสู่อ้อมอกของญาติพี่น้อง สังคมไทย เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยโดยไม่มีความผิดติดตัว ยุติปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างไมตรีกับประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย ประเทศไทยจึงกลับคืนสู่ความปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง
ความสำเร็จในการแก้ไขความขัดแย้งลึกซึ้งหนักหน่วงที่สุดของโลกและกินระยะเวลานานที่สุดในโลกก็สิ้นสุดลงได้ด้วยน้ำพระทัยพระเมตตาและพระปัญญาทัศน์ที่ถือเอาสันติสยบความขัดแย้งได้สัมฤทธิ์ผล จนเป็นเหตุให้ทั่วโลกถวายพระราชสมัญญาว่า มหาราช จนบัดนี้
น้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 นั้น พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งยังทรงประกาศพระบรมราชโองการไว้ว่าจะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระบรมราโชบายของสมเด็จพระบรมราชชนกเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนตลอดไป อันเป็นน้ำพระทัยที่สูงส่งและฉ่ำเย็นที่สามารถระงับความขัดแย้งทั้งหลายได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องวางความขัดแย้งส่วนบุคคลลง อัญเชิญพระราชกระแสและพระบรมราโชบายในการระงับความขัดแย้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงประกาศที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาประพฤติปฏิบัติให้สำเร็จ เพื่อนำชาติบ้านเมืองออกจากความขัดแย้งให้จงได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี