นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัย “รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช” ซึ่งเป็นรัฐบาลนอมินีของ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาถึงประเทศไทยแล้วเมื่อวานนี้ หลังจากหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 15 ปี
เมื่อเช้าวานนี้ (28 มีนาคม) ทั้งสื่อและมวลชนคนเสื้อแดงที่ไปรอรับนายจักรภพ เพ็ญแข ตรงประตู 9 ชั้น 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ ต้องรอเก้อ ด้วยคิดว่านายจักรภพจะออกมาทางประตูนี้ประมาณแปดโมงเช้า หลังเครื่องบินลงจอดเวลา 07.35 น. แต่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบได้นำกำลังมารับตัวนายจักรภพไปดำเนินคดีที่กองปราบฯทางประตูหลัง
อนึ่ง นายจักรภพ เพ็ญแข มีหมายจับในข้อหา “ร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด” ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และเป็นอั้งยี่ ส่วนคดีความผิดตามมาตรา 112 จากการกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “ระบบอุปถัมภ์ในฐานะที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย” ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อปี 2550 นั้น อัยการไม่สั่งฟ้องคดีไปแล้วตั้งแต่ปี 2554
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายจักรภพ เพ็ญแข ได้ถูกตำรวจกองปราบพาตัวไปยังกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมายต่างๆ โดยใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมง นายจักรภพ เพ็ญแข ก็ได้รับการประกันตัว โดยยื่นหลักประกันคดีละ 2 แสนบาท รวม 2 คดี คือคดีอาวุธปืนและคดีเป็นอั้งยี่ รวมเป็นเงิน 4 แสนบาท
เวลาประมาณ 13.00 น. นายจักรภพ เพ็ญแข วัย 54 ปี ปรากฏตัวต่อสื่อครั้งแรกในรอบ 15 ปี หลังถูกควบคุมตัวมาที่กองปราบปรามตั้งแต่ช่วงเช้า ใบหน้าอิ่มเอิบรูปร่างท้วม เมื่อออกจากห้องควบคุมก็ได้ไปก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ โดยมีทนายความและญาติมายืนเคียงข้าง จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับหยอกล้อกับสื่ออย่างเป็นกันเอง รวมทั้งทักทายกับมวลชนคนเสื้อแดงที่มารอให้กำลังใจ
การกลับมาของนายจักรภพ เพ็ญแข ครั้งนี้เรียกว่าตามรอยนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็น “นายใหญ่”มาติดๆ และเชื่อกันว่าต่อจากนายจักรภพก็คงจะมีอีกหลายๆ คน ที่จะทยอยกลับเข้ามา ทั้งขบวนการ “เผาบ้านเผาเมือง”และผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งเวลานี้ยังหลบหนีและเป็น“พลเมืองชั้นสอง” ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในต่างประเทศ
โดยเฉพาะบุคคลที่มีคดีติดตัวและหลบหนีออกจากประเทศไทยหลังการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยไม่ยอมเข้ารายงานตัวต่อ คสช.นั้น จะกลับเข้ามาประเทศไทยได้แบบสบายหายห่วง
นั่นก็เพราะ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ที่เคยปูทางมาตั้งแต่ครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อให้นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร กลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุก ได้ “สะเดาะกุญแจ” ด้วยการเสนอยกเลิก “ประกาศ คสช.ฉบับที่ 25/2557-เรื่องให้มารายงานตัว” ผ่านความเห็นชอบของ ครม.เรียบร้อยแล้วเมื่อวันอังคารที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา
ลองไล่เลียงสำรวจชื่อบุคคลที่หลบหนีอยู่ในต่างแดนฐานกระทำความผิดโดยขัดคำสั่ง คสช. จากการที่ไม่ยอมเข้ามารายงานตัวภายหลังการรัฐประหาร หรือบางคนถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และหลบหนีภายหลังการรัฐประหารของ คสช. ที่ส่วนใหญ่เป็นอดีตนักการเมืองฟากฝั่งพรรคเพื่อไทย, เป็นนักกิจกรรม-นักวิชาการ และมีอดีตผู้สื่อข่าวรวมอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นก็คือนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ไม่เข้ามารายงานตัวต่อ คสช.
ทั้งนี้ เชื่อกันว่า นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ได้หลบหนีออกจากประเทศไทยไปก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร และไปพำนักอาศัยอยู่ที่บ้านบุตรสาวในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะประกาศตั้งขบวนการเสรีไทยใหม่ในเวลาต่อมา เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร และเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านโลกโซเชียล
อีกคนหนึ่งคือ นายจอม เพชรประดับ อดีตนักข่าว ITV และอดีตผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ที่หลบหนีการเข้ามารายงานตัวตามคำสั่ง คสช. ซึ่งหลังจากหลบหนีไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้เคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหาร โดยจัดรายการผ่านโลกโซเชียลทั้งทางเฟซบุ๊กและยูทูบ สัมภาษณ์นักวิชาการ-นักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ และล่าสุดเมื่อวานนี้นายจอมยังได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กของตนแสดงความยินดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข กลับประเทศไทย
“ยินดีกับการได้กลับบ้านของคุณจักรภพ เพ็ญแข..และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การกลับมาครั้งนี้ คงมาร่วมกันผลักดันให้ อย่างน้อยสุด ผู้ต้องหาทางการเมืองที่อยู่ในคุกทั้งหมด ได้รับการประกันตัว หรือปล่อยตัวเพื่อออกมาสู้คดีตามสิทธิ์ หาไม่แล้ว...ก็จะเป็นอีกคนที่ล้มละลายทางความเชื่อและความศรัทธา รวมถึงอาจถูกตราหน้าว่าตระบัดสัตย์..เพิ่มขึ้นอีกคน” นายจอม เพชรประดับ ซึ่งเวลานี้ลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กดังกล่าว
คนอื่นๆ ยกเว้นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หนีคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวซึ่งมีโทษติดตัว 5 ปี เพราะถือว่าเป็นผู้มีอภิสิทธิ์ “อีกชนชั้นหนึ่ง” ระดับเดียวกับนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่จะต้องกลับมาแบบไม่ต้องติดคุกเช่นพี่ชาย และเวลานี้ผู้เกี่ยวข้องกำลังหาช่องทางแบบ “ทักษิณโมเดล” กันอยู่นั้น เมื่อสำรวจรายชื่อผู้หลบหนีคดีมาตรา 112 ที่คงอยากจะกลับประเทศไทย ก็ยังมี นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล,นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์, นายนิธิวัต วรรณศิริ หรือ“จอม ไฟเย็น”, นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ “อั้ม เนโกะ” และนางสุดา รังกุพันธุ์ อดีตอาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น
นอกจากนั้นระดับหัวขบวนตัวเอ้ๆ ถ้ากลับได้ด้วยเห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีอำนาจเป็นรัฐบาล และ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดไม่ต่างจากผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ ในเวลานี้ จะสามารถบันดาลทำให้โทษเบาบางลงได้หรือพ้นโทษได้อย่าง “ทักษิณโมเดล” ก็เชื่อว่าคงอยากจะกลับมาใช้ชีวิตในบั้นปลายหรือกลับมาตายในบ้านเกิดเช่นเดียวกัน เพราะสุขใดคงไม่เหมือนประเทศไทยอันเป็นมาตุภูมิแผ่นดินถิ่นเกิดของตนอีกแล้ว
อาทิ นายวิสา คัญทัพ, นางไพจิตร อักษรณรงค์, นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นางจรรยา ยิ้มประเสริฐ, นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน, นายเสน่ห์ ถิ่นแสน หรือ “ดร.เพียงดิน”, นายมนูญ ชัยชนะ หรือ“เอนก ซานฟรานซิสโก” และนายจุติเทพ วิไชยคำมาตย์ หรือ “โจ กอร์ดอน” ฯลฯ
ก่อนกลับก็ควรโพสต์หรือทวีตข้อความผ่านโลกโซเชียล เหมือนที่นายจักรภพ เพ็ญแข โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเป็นการล่วงหน้า ว่า “ห่วงประเทศไทย-รักประเทศไทย-ขอกลับมารับใช้บ้านเมือง” และพร้อมกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะประเทศไทยมีประชาธิปไตยแล้ว!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี