มีรายงานข่าวจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ระบุว่า กทม.ได้ชำระหนี้ค่างานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ให้กับบีทีเอสแล้ว จำนวน 23,091,937,361 บาท เมื่อช่วงเย็นวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา
1. ปัญหาหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย เป็นปัญหาเรื้อรัง หมักหมมมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ยังแก้ไม่สำเร็จ
กระทั่งยุคผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นำเสนอเรื่องขออนุมัติต่อสภา กทม.
เมื่อวันที่ 17 ม.ค.2567 สภากรุงเทพมหานครได้ลงมติเห็นชอบ อนุมัติจ่ายเงินสำหรับงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยนำเงินสะสมจ่ายขาดที่มีอยู่ 40,000-50,000 ล้านบาท มาชำระหนี้ให้กับ BTSC ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS ดังกล่าว
ต่อมา เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2567 ราชกิจจานุเบกษา ประกาศ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 จำนวน 23,488,692,200 บาท เพื่อใช้จ่ายหนี้ให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ผู้รับสัมปทานและให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สำหรับงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M)
ล่าสุด จึงมีรายงานว่า จ่ายแล้ว เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา จำนวน 23,091 ล้านบาท
มีรายงานว่า ผู้บริหารบีทีเอส ได้กล่าวขอบคุณ กทม. โดยเฉพาะนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. เชื่อว่าการได้รับเงินก้อนดังกล่าวจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้บริษัท ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินงาน และที่สำคัญ คือ ประชาชนจะได้รับประโยชน์ในการใช้บริการต่อไป
2. ในความเป็นจริง หนี้ค่างานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย เป็นเพียงก้อนหนึ่งเท่านั้น
การจ่ายหนี้ไปนั้น ชอบแล้ว เพื่อจะได้ไม่ต้องยืดเยื้อ และเสียดอกเบี้ยเพิ่มไปอีกโดยไม่จำเป็น
แต่ยังมีหนี้อีกก้อนใหญ่
นั่นคือ หนี้ค่าเดินรถสายสีเขียวส่วนต่อขยาย
ซึ่งเอกชนยังคงเดินรถตามสัญญาจ้างเดินรถอยู่ทุกวัน จนกระทั่งปัจจุบัน โดยที่ภาครัฐยังไม่จ่ายเงินค่าเดินรถให้เอกชนตามสัญญาเลย
หนี้ก้อนนี้ จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาการเดินรถตามสัญญา และยังมีดอกเบี้ยอีกต่างหาก
3. ปัจจุบัน หนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด
มูลหนี้ ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ศาลปกครองพิพากษาให้กรุงเทพมหานครและบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ร่วมกันจ่ายหนี้ให้กับ BTSC จำนวน 11,755.06 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.หนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,348 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย และ 2.หนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
ส่วนที่ 2 ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ตามที่ BTS ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้กรุงเทพมหานครและบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด จ่ายหนี้เพิ่มอีกประมาณ 11,068.5 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2565
รวมถึงเวลานี้ ค่าเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังไม่ได้จ่าย น่าจะกว่า 3 หมื่นล้านบาทขึ้นไป (ยังไม่รวมดอกเบี้ย)
สำหรับสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงอ่อนนุช-หมอชิด (สายสุขุมวิท) และ ช่วงสะพานตากสิน-สนามกีฬาแห่งชาติ (สายสีลม) จะหมดอายุสัมปทานในปี 2572 แต่บีทีเอสมีสัญญาจ้างเดินรถในส่วนต่อขยายทั้งสองฝั่งไปถึงปี 2585 หากสัญญาสัมปทานเส้นทางหลักหมดอายุ ทางกทม.ก็มีทางเลือกว่าจะเจรจากับบีทีเอสเพื่อเดินรถต่อเนื่อง หรือเปิดประมูล ซึ่งหากให้รายใหม่เข้ามาเดินรถเส้นทางหลักก็จะติดสัญญาจ้างเดินรถในส่วนต่อขยายที่เป็นสิทธิของบีทีเอส
4. นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการ BTS และ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) เปิดเผยว่า เงินค่าจ้างงานระบบเดินรถไฟฟ้าและเครื่องกลรถไฟฟ้าสายสีเขียว บริษัทจะนำไปชำระหนี้เพื่อทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง ช่วยให้มีความสามารถกู้เงินได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การรับเงินคืนจาก กทม.ยังไม่มีผลต่องบกำไรขาดทุน เพราะได้บันทึกไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่จะช่วยทำให้สภาพคล่องดีขึ้น
ส่วนหนี้คงค้างในส่วนที่เป็นงานเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (O&M) รวมค่าเช่าขบวนรถไฟฟ้าประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท BTSC ได้ฟ้องศาลปกครองครั้งที่ 1 มีจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท และ ฟ้องเพิ่มอีกในครั้งที่ 2 อีกจำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท และยังมีส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้ยื่นคำฟ้องราว 1 หมื่นล้านบาท
นายสุรพงษ์เปิดเผยด้วยว่า สำหรับการฟ้องครั้งที่ 1 ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด จ่ายหนี้และดอกเบี้ยรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่ง กทม.ได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลปกครองสูงสุดนัดไต่สวนครั้งแรกแล้ว และตุลาการแถลงมีความเห็นยืนตามศาลปกครองกลางเมื่อ 17 ส.ค.2566 ซึ่งผ่านมากว่า 6 เดือนแล้ว คาดว่าศาลน่าจะใกล้มีคำตัดสินแล้ว
หากเป็นไปตามทิศทางเดียวกับศาลชั้นต้นและตุลาการแถลงคดี กทม.ก็ต้องจ่ายให้กับบริษัทภายใน 180 วัน คาดว่าบริษัทจะรับรู้ในงวดปี 2567/2568
ส่วนคดีที่ 2 ที่ฟ้องเพิ่มหนี้ค่าจ้าง O&M นั้น ปัจจุบัน ศาลปกครองยังไม่เรียกไต่สวน คาดว่าน่าจะรอคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา เพราะลักษณะคดีเหมือนกันต่างกันเพียงระยะเวลา ซึ่งบริษัทก็รอฟังเช่นกันเพื่อจะได้รู้ทิศทางว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร และจะฟ้องเรียกคืนค่าจ้าง O&M ในส่วนที่เหลือด้วย
5. ทั้งหมดนี้ คือต้นทุนของปัญหาที่หมักหมมสะสมมายาวนาน
ในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์พยายามหาแนวทางที่ไม่ต้องจ่าย โดยใช้มาตรา 44 ให้เจรจากับเอกชน เพื่อจะล้างหนี้ทั้งหมด แลกกับการขยายสัญญาสัมปทานแก่เอกชน
แต่ดำเนินการไม่สำเร็จ ค้างคา
มาถึงปัจจุบัน แนวนโยบายของผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สรุปชัดเจน คือ เดินหน้าใช้หนี้ ไม่เดินตาม ม.44
ส่วนรัฐบาลเพื่อไทยจะเอาอย่างไร?
หากไม่เจรจากับเอกชน ก็ต้องใช้หนี้เอกชน แล้วรัฐบาลจะร่วมรับผิดชอบหนี้ค่าเดินรถด้วยหรือไม่? แค่ไหน? อย่างไร?
เพราะรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ว่าจ้างเอกชนเดินรถมาหลายปีนั้น เปิดให้บริการฟรี ประชาชนทั้งใน กทม.และปริมณฑลได้ประโยชน์จากการนั่งฟรีอย่างต่อเนื่อง
ถึงคราวต้องจ่ายเงิน รัฐบาลจะร่วมรับผิดชอบด้วยอย่างไร?
มิฉะนั้น ปัญหาคงไม่จบ ค้างคา และหมักหมม สะสม เพิ่มภาระดอกเบี้ยพอกพูนต่อไปเรื่อยๆ ใครจะรับผิดชอบ?
จะไม่มีเงินจ่ายอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จะต้องกลับไปเจรจากับเอกชนหรือไม่ อย่างไร?
จะจบ หรือไม่จบ มหากาพย์รถไฟฟ้าสายสีเขียว อยู่ที่รัฐบาลปัจจุบัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี