เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2567 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษที่อยู่ระหว่างได้รับการพักโทษ กล่าวขณะกลับไปร่วมงานสงกรานต์ที่ จ.เชียงใหม่
ทักษิณเปิดเผยว่า รู้สึกม่วนอก ม่วนใจ๋ กลับมาแล้วก็อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายและสงบ และเนื่องในวันครอบครัว เมื่อได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่ประเทศไทยก็อบอุ่น มีความสุขและดีกว่าอยู่เมืองนอก หวังว่า สงกรานต์ปีหน้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงได้มีโอกาสมาทำบุญด้วยกัน เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์อยากกลับและตั้งใจจะกลับภายในปีนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ อย่างไร ทั้งนี้หากจะมีเสียงวิจารณ์ เราต้องมีเหตุผลตอบสังคมส่วนใหญ่ได้
1. นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นว่า โดยหลักการ นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นคนไทย การกลับมายังประเทศไทย สามารถทำได้ตลอดเวลา
“...เพราะการหลบหนีคดีจำนำข้าวที่มีคำพิพากษาให้จำคุก หลบไปอยู่ต่างประเทศนานหลายปี เข้าใจความรู้สึกดีว่าก็คงคิดถึงเมืองไทย
ส่วนคดีที่มีคำพิพากษาให้จำคุก ยังไม่อยากพูดถึงเรื่องในอนาคตว่าเข้ามาในประเทศแล้วจะถูกจำคุกจริงหรือไม่ จำคุกกี่วัน เชื่อว่าทุกคนรอดู อนาคตจะเป็นคำตอบ
...ถ้านางสาวยิ่งลักษณ์เข้ามาแล้ว ต้องติดคุกตามคำพิพากษา ติดคุกวันเดียวก็ไม่ได้ เพราะรัฐบาลจะถูกกล่าวหาได้ว่ารัฐบาลนี้สองมาตรฐาน ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกกรมกอง ต้องใช้ชุดเดิม เพราะมีประสบการณ์แล้ว จะได้คงไว้ซึ่งมาตรฐานของรัฐบาล ส่วนกระบวนการยุติธรรมของประเทศโดยเฉพาะปลายทางกระบวนยุติธรรม ตนเชื่อว่าคนไทยไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว ขณะนี้รัฐบาลมีอำนาจ ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่วันหนึ่งทุกการกระทำจะย้อนกลับมาอย่างแน่นอน”
2. ยิ่งลักษณ์จะกลับมาตามรอยทักษิณ ได้หรือไม่?
กรณีเอื้อประโยชน์ช่วยเหลือทักษิณให้ไม่ต้องติดคุกจริง ยังเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ และร้องตรวจสอบดำเนินคดีเอาผิดผู้เกี่ยวข้องอยู่
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แฉว่า มีรายงานลับเกี่ยวกับปัญหาของนักโทษชั้น 14 โดยทางผู้ตรวจการฯ ได้แสวงหาข้อเท็จจริงจากหน่วยงานต่างๆ
...การส่งตัวนายทักษิณ ผู้ต้องขัง ไปรักษาตัวที่รพ.ตำรวจ และการปกปิดข้อมูลทางการแพทย์ และขั้นตอนการดำเนินการ ไม่โปร่งใส เลือกปฏิบัติเฉพาะราย เป็นการไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
พบว่า การส่งตัวของกรมราชทัณฑ์จากข้อเท็จจริง เหตุผลนี้มาจาก “เพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งมีผลต่อชีวิตผู้ต้องขัง”แสดงว่า เป็นการส่งตัวผู้ต้องขัง ไปรพ.ตำรวจ “เพื่อป้องกันความเสี่ยง” ไม่ใช่เป็นการเจ็บป่วยจริง ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อ 2 ของกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ
...กรณีรับตัว ผู้ต้องขังเข้าพักรักษาตัว ในห้องพิเศษของ โรงพยาบาลตำรวจ แยกจากผู้ป่วยทั่วไป
..โรงพยาบาลตำรวจได้รับข้อมูลมาว่า ผู้ต้องขังรายนี้ มีอาการวิกฤตฉุกเฉิน เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ซึ่งควรได้รับการรักษาใน ICU (จะพบว่าข้อมูลนี้ขัดแย้งกับ ข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ที่รายงานว่า ส่งมาเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งแสดงว่ายังไม่ได้ป่วยจริง แต่มาถึงโรงพยาบาลตำรวจกลับอ้างข้อมูลว่าผู้ต้องขัง มีอาการวิกฤตฉุกเฉิน)
พบว่า ห้อง ICU และห้องสามัญเต็มตลอด ห้องพิเศษจะหาได้ง่ายกว่า ถ้าไปรักษา ward สามัญ ก็ต้องให้คนไข้ปกติย้ายออก ซึ่งจะไปกระทบ สิทธิ์ผู้ป่วยรายอื่น
ทั้งนี้ ห้องผู้ป่วยพิเศษแบบชั้น 14 นี้ รองรับผู้ป่วยทั่วไปทุกระดับชั้น ปัจจุบันชั้นนี้ ยังมีผู้ป่วยภายนอก เข้ามาพักรักษาตัวตามปกติ ไม่ได้มีการปิดกั้นเฉพาะชั้นแต่อย่างใด (เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำพ.ศ.2563 ข้อ4(2) ที่ห้ามผู้ต้องขังพักห้องพิเศษ ที่สำคัญ ในระยะเวลา 180 วันจะไม่มีเตียงสามัญ หรือไอซียู ว่างเลยหรือ ที่จะต้องย้ายผู้ต้องขังลงไป เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวง)
ชั้น 14 แบ่งเป็นซ้ายขวา บริเวณฝั่งปีกขวา เป็นห้องพักฟื้นผู้ป่วยโควิด ปัจจุบันยังไม่เปิดใช้งาน เนื่องจากมีน้ำรั่ว
ฝั่งซ้ายเป็นห้องพักฟื้นผู้ป่วย โดยมีประตูกั้นการเข้า-ออกพื้นที่ กั้นเป็นเขตหวงห้าม มีเจ้าหน้าที่ ราชทัณฑ์ 2 นาย จนท.ตำรวจจากสน.ปทุมวัน 2 นายมีการจัดโต๊ะควบคุมพื้นที่เข้า-ออกดังกล่าว ต้องรายงานผู้บังคับบัญชา ทุก 2 ชม.โดยการถ่ายภาพ ห้องที่ผู้ป่วยพัก ส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์ (การกั้นเป็นเขตหวงห้ามก็ย้อนแย้งกับ รายงานที่แจ้งว่า มีผู้ป่วยภายนอกเข้าพักในชั้นนี้)
กล้องวงจรปิดได้รับการชี้แจงว่า ชั้นนี้เสีย และกล้องวงจรปิด เสียทั้งอาคารเนื่องจากงบประมาณได้รับไม่เพียงพอ (ปกติทุกโรงพยาบาลจะมีเงินบำรุง ที่ผู้อำนวยการสามารถใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมได้ มีเจตนาพิเศษแอบแฝงหรือไม่ ที่ไม่มีการซ่อมแซม)
ประเด็นเรื่องห้องวีไอพี จากการแสวงหาข้อเท็จจริง พบว่า ป้ายหน้าลิฟต์ชั้น 14 ปรากฏข้อความสั้นๆ เพียงว่า หอผู้ป่วยพิเศษ เท่านั้น (ก็เป็นการยืนยันว่าผู้ต้องขังพักที่ห้องพิเศษจริง ซึ่งขัดกับกฎกระทรวง ที่ห้ามพักห้องพิเศษ)
...ผู้ต้องขัง ยังไว้ผมยาว
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครชี้แจงสรุปว่า ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตัดผมผู้ต้องขัง พ.ศ.2565 ความในหมวดที่ 1 การตัดผมและการย้อมผม ข้อ 6ได้กำหนดว่า เมื่อผู้ต้องขังเข้ามาในเรือนจำ จัดให้มีการตัดผมหรือไว้ผม ให้เป็นไปตามระเบียบนี้ ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่รับตัว
โดยเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จะจัดให้ผู้ต้องขังใหม่ ตัดผมในเวลาที่เหมาะสม แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 7 วัน นับแต่วันที่รับตัว
ต่อมา ผู้ต้องขัง ไปรักษาอาการป่วยยัง โรงพยาบาลตำรวจ ตามความเห็นของแพทย์ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2566 ด้วยเหตุนี้ จึงยังไม่ได้ตัดผม หากโรงพยาบาลตำรวจอนุญาตให้รับตัวกลับมาคุมขัง ยังเรือนจำเมื่อใดทางเรือนจำจะดำเนินการ ตามระเบียบต่อไป (แม้ผู้ต้องขังจะอยู่โรงพยาบาล ยังถือเป็นผู้ต้องขัง ยังไม่พ้นจากการคุมขัง ตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 วรรคท้ายกฎระเบียบต่างๆ ต้องมีผลบังคับ รวมทั้งการตัดผมด้วย)...
ถ้ายิ่งลักษณ์จะตามรอยทักษิณ คงยาก
และถ้าจะมาใช้ระเบียบใหม่ ติดคุกนอนเรือนจำ ก็จะได้บันทึกว่าเป็นนายกฯคนแรกของประเทศไทยที่ได้อาศัยช่องทางนี้
3. อย่าลืมว่า ยิ่งลักษณ์หนีคดีไปเอง ไม่ยอมกลับมาเอง จะมาเมื่อไหร่ก็มาได้
แต่มาแล้ว จะต้องรับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำคุก 5 ปี
ก่อนหน้าจะหนีไป ยิ่งลักษณ์ประกาศไว้หลายครั้ง ว่าจะไม่หนีคดีไปไหนอย่างแน่นอน
แต่พอถึงวันนัดอ่านคำพิพากษาคดีจำนำข้าว 25 ส.ค. 2560 ปรากฏว่า ยิ่งลักษณ์หนีไปเสียแล้ว
ทิ้งรัฐมนตรีข้าวจีทูเจี๊ยะ ลูกน้องในพรรคของตัวเอง ไม่บอกไม่กล่าว
แม้กระทั่งมวลชนคนเสื้อแดง ก็ถูกหลอก
ตอนนั้น ยิ่งลักษณ์โกหกศาลว่า “ป่วยด้วยโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน”
ศาลไม่เชื่อ จึงออกหมายจับ ริบเงินประกันหลายสิบล้านบาท
ปรากฏในภายหลังว่า เป็นการหลบหนีที่มีการวางแผนเตรียมการไว้ก่อนแล้ว
มีนายตำรวจยศ พ.ต.อ. เป็นคนขับรถพาหนี ออกจากบ้านพักย่านวัชรพล ตั้งแต่คืนวันที่ 23 ส.ค.2560 จากนั้น ยิ่งลักษณ์ข้ามไปกัมพูชา ต่อไปประเทศสิงคโปร์ เพื่อพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯตระกูลชิน ผู้หลบหนีคดีทุจริตอยู่ก่อน แล้วก็เดินทางไปยังนครดูไบด้วยกัน
เอาเป็นว่า ยิ่งลักษณ์จะมาเมื่อไหร่ก็มาได้เลย อย่าลีลาอยู่เลย
คนไทยอยากเห็นว่า ถ้ามาแล้วไม่ติดคุก จะเกิดอะไรขึ้น !
4. จะว่าไปแล้ว หลายเรื่องก็ยังไม่มีการแถลงแจกแจงให้เกิดความชัดเจน
คดี 112 ของทักษิณ ชินวัตร ยังรออัยการสูงสุดพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ หลังสอบเพิ่ม ตามคำขอความเป็นธรรม
แล้วคดีภาษีหุ้นชินฯ ของคนในครอบครัวชินวัตรล่ะ สรุปว่าอย่างไร?
ก่อนหน้านี้ ลูกๆ ของนายทักษิณ ชินวัตร “พานทองแท้ กับพินทองทา” รอดตัว ไม่ต้องจ่ายภาษีหุ้นชินฯ เกือบ 8 พันล้านบาท เพราะมีข้าราชการกังฉินช่วยเหลือ
โดยที่ข้าราชการทุจริต ก็ต้องติดคุก เป็นอุทาหรณ์ของผู้รับใช้ “ตระกูลชิน”อีกหนึ่งกรณี
นั่นคือกรณีนางเบญจา หลุยเจริญ อดีตเคยปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร ตอบชงหวานกรณีนายพานทองแท้ซื้อหุ้นชินคอร์ป จากบริษัทแอมเพิลริชต้องเสียภาษีหรือไม่?
ป.ป.ช. ไต่สวน ชี้มูลความผิด และฟ้องคดีที่ศาลปราบโกง
28 ก.ค. 2559 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิพากษาจำคุกข้าราชการกังฉิน ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุกคนละ 3 ปี
19 ต.ค. 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ต่อมา ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ลดโทษให้ เป็นจำคุกนางเบญจา หลุยเจริญ และพวก 2 ปี ไม่รอลงอาญา และจำคุกเลขาฯส่วนตัวคุณหญิงพจมาน 2 ปีไม่รอลงอาญาเช่นกัน
ปัจจุบัน ลูกๆ ของทักษิณ ก็ยังไม่ต้องจ่ายภาษีเกือบ 8 พันล้านบาทดังกล่าว
ขณะที่กรมสรรพากรได้เรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณ ชินวัตรกว่า 17,000 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่จ่ายเช่นกัน
สรุปว่า ไม่ต้องมีใครจ่ายเลยหรือ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี