การยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับการลาออกจากทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ทันทีที่รายชื่อ 12 รัฐมนตรีใหม่ประกาศออกมา ก่อนเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ นับว่าเป็นเรื่องใหญ่หลวงที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล“เศรษฐา 1/1”อย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
อย่างน้อย ในสายตาต่างประเทศย่อมต้องมีคำถามตามมา ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้ โดยเฉพาะกับรัฐบาลไทยที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะนายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งด้านการต่างประเทศและด้านการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งในช่วง 7 เดือนกว่าที่รัฐบาชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ แต่เป็นผลงานประเภท“ปิดทองหลังพระ”ที่มิได้สร้างภาพเหมือนแมลงวันตัวหนึ่งที่ได้แต่บินว่อนไปว่อนมา
รัฐมนตรีต่างประเทศนั้นถือว่ามีความสำคัญเป็นลำดับสองรองจากผู้นำประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นของต่างประเทศเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น แต่รัฐมนตรีต่างประเทศยังเป็นหน้าเป็นตาของประเทศนั้นๆ อีกด้วย
ไม่ต้องยกอดีตไปไกล ในทางสากลเวลานี้ ถ้าพูดถึง“สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนแผ่นดินใหญ่ คนก็จะต้องนึกถึง“หวัง อี้”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน หรือถ้าพูดถึงประธานาธิบดี“โจ ไบเดน”แห่งสหรัฐอเมริกา ชื่อของ“แอนโทนี บลินเคน” ก็จะปรากฏขึ้นมาทันที หรือแม้แต่ประเทศรัสเซีย เมื่อพูดดถึงประธานาธิบดี“วลาดิเมียร์ ปูติน” คนก็จะต้องนึก“เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” รัฐมนตรีต่างประเทศคู่บารมีของปูติน
รัฐมนตรีต่างประเทศของ 3 ประเทศมหาอำนาจที่ยกมานั้น ล้วนมีเกียรติประวัติและเป็นมืออาชีพในการทำงานด้านการต่างประเทศ และมีฝีมือครบเครื่องทั้งเรื่องความมั่นคง เรื่องสันติภาพ และเรื่องเศรษฐกิจการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมีผลงานเป็นที่ปรากฏมาแล้วทุกคน
รัฐบาล“เศรษฐา 1/1”เสียนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ก็เหมือนเสีย“เพชรเม็ดงาม”ที่อยู่ในมือ เป็นการสะท้อนถึงวุฒิภาวะของนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใด และไม่ใช่ว่าหลังการยื่นใบลาออกของนายปานปรีย์แล้ว ตามที่นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าได้ส่งข้อความไปหานายปานปรีย์ โดยกล่าวกับนายปานปรีย์ว่า “ผมขอโทษถ้าเกิดผมทำให้พี่ไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็ขอขอบคุณที่ช่วยงานกันมา"
นายเศรษฐา ทวีสิน พูดอย่างนั้นก็เท่ากับว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นความสำคัญของนายปานปรีย์ ราวกับว่าเมื่อลาออกก็หาคนใหม่มาแทนได้ เช่นที่เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า “กำลังพิจารณาและประสานให้คนใหม่เข้ามาทำหน้าที่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว (28 เมษายน) แต่ขอยังไม่เปิดเผย ยอมรับเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของพรรคเพื่อไทย” และมีการคาดเดาว่าน่าจะเป็นนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ นักการทูต ซึ่งเป็นที่ปรึกษานายปานปรีย์ ในตำหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีฯต่างประเทศนั่นเอง
นอกเหนือจากนั้น การปรับ ครม.ครั้งนี้ ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมถึงขั้นนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ได้ยื่นใบลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ย่อมมิใช่เพียงแค่ปัญหาพอใจหรือไม่พอของนายปานปรีย์ ดังที่ผู้สื่อข่าวถาม และนายเศรษฐา ทวีสิน ได้ตอบคำถามว่า "...ในการที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ หรือ ครม.ต่างๆ ผมเชื่อว่าก็คงมีคนที่พอใจ ไม่พอใจ สมหวัง และไม่สมหวัง”
ถึงขนาดนี้นายเศรษฐา ทวีสิน ก็ยังไม่เข้าใจว่า การยื่นใบลาออกของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร คือการ“ตบหน้ารัฐบาล”ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นผู้นำรัฐบาล และมี“นักโทษเทวดา”เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่เพราะแสดงความไม่พอใจหรือแสดงความไม่สมหวัง แต่เป็นการแสดงออกให้เห็นว่าการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเป็นเรื่องไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง
ข้อความในหนังสือลาออกของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร มีนัยสำคัญที่พูดไว้ชัดเจนว่า “...สาหตุของการปรับผมออกจากรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ผมเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับผมไม่มีผลงานแน่นอน เพราะผมทุ่มเทการทำงานด้านต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และตั้งใจทำหน้าที่ด้วยความชื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนมากขึ้น ตามที่รัฐบาลได้แถลงผลงานไปแล้ว จนสามารถตอบสนองต่อนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกอย่างเด่นชัด วันนี้ไทยหวนกลับมาขึ้นบนจอเรด้าของโลก มีมิตรประเทศเพิ่มขึ้น และมีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น...”
และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ได้ให้สัมภาษณ์สื่ออีกครั้งในวันที่ 29 เมษายนหลังยื่นใบลาออกอย่างชัดเจนว่า เหตุผลเป็นไปตามเนื้อหาที่ได้ระบุไว้ในหนังสือลาออก ซึ่งเป็นไปตามหลักการ โดยบอกว่าในเมื่อทำงานในตำแหน่งหนึ่งด้วยความ“เรียบร้อย ซื่อสัตย์ สุจริต” และมีผลงานประจักษ์ชัดเจน แต่วันดีคืนดีกลับถูกโยกย้ายไปในตำแหน่งที่น้อยกว่าเดิม เสมือนว่าทำอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในตำแหน่งอีกต่อไป
พร้อมกันนี้นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ยังให้เหตุผลยืนยันด้วยว่า “การมีตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีพ่วงด้วยถือว่ามีความสำคัญ เพราะการเดินทางไปต่างประเทศ ไปเจรจาความใดๆ จะมีความราบรื่นมากขึ้น แต่เมื่อเหลือเพียงตำแหน่งเดียว อาจทำให้งานไม่รวดเร็ว หรือราบรื่นเท่าที่ควร”
อย่างไรก็ตาม การยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ในครั้งนี้ ถึงกับมีเสียงพูดว่า ถ้าจะให้นายปานปรีย์เป็นนายกรัฐมนตรี ยังเป็นได้ดีและมีเกียรติยศศักดิ์ศรีเหนือกว่านายเศรษฐา ทวีสิน เสียด้วยซ้ำไป
นายปานปรีย์ พหิทานุกร วัย 66 ปี เริ่มชีวิตราชการหลังจบปริญญาเอก ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ จาก“Claremont Graduate University” ประเทศสหรัฐอเมริกา ในตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก่อนจะเข้ามาสู่เส้นทางการเมือง จนเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้
เส้นทางการเมืองในชีวิตขาวสะอาด สั่งสมประสบการณ์ในทางการเมืองมาตั้งแต่สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี เคยเป็นรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา และเป็น สส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคชาติพัฒนาในปี 2545 เคยเป็นอดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อีกทั้งยังเคยเป็นผู้แทนการค้าไทย และอดีตประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เข้ามาร่วมงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทยในปี 2551 เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (อันดับ 1) รับผิดชอบในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และเป็นกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย
สำคัญที่สุด นายปานปรีย์ พหิทานุกร ไม่ใช่พ่อค้า ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ชาติตระกูลดี เป็นคนซื่อสัตย์สุริต เกิดจากครอบครัวนักการทูตและนักการต่างประเทศ ปู่ คือ“พระพหิทธานุกร” เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงต่างประเทศ และเคยเป็นเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ และรวมทั้งนายปรีชา พหิทธานุกร บิดาของนายปานปรีย์ ก็เคยรับราชการที่กระทรวงต่างประเทศและเป็นนักการทูตเช่นกัน
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม สำหรับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และมี“นักโทษเทวดา”เป็นผู้มีอำนาจคอยบงการตัวจริง คุณสมบัติใดก็ไม่สำคัญเท่ากับผลประโยชน์ต่างตอบแทน ที่อยู่เหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี