ทุกประเทศ ทุกบ้านเมือง ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบใดก็ตาม ย่อมต้องมีกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนทุกคนยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นไปได้โดยปกติสุข ผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายต้องทำให้กฎหมายที่มีอยู่นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลพิเศษแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะหากเป็นเช่นนั้น กฎหมายที่มีอยู่ย่อมไร้ค่า และจะนำมาซึ่งความวุ่นวายของสังคมและบ้านเมืองอย่างแน่นอน
ย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของชาติไทยจะพบว่าได้มีการตรากฎหมายเพื่อนำมาใช้ให้เป็นกติกาของสังคม และมีการบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๙๕ โดยมีชื่อเรียกว่าพระอัยการลักษณะอาญาหลวง ซึ่งได้มีการบัญญัติเพิ่มเติมอีกหลายคราวโดยพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อๆ มา
พระอัยการลักษณะอาญาหลวงนี้ได้ถูกยกเลิกในปีพุทธศักราช ๒๔๕๑ เมื่อมีการออกกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ รวมเวลาที่ใช้พระอัยการลักษณะอาญาหลวงนานถึง ๕๕๖ ปี บทบัญญัติในพระอัยการลักษณะอาญาหลวงส่วนใหญ่เป็นบทลงโทษข้าราชการที่ทุจริตประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ นอกจากนี้ยังมีความผิดกรณีอื่นๆ อีกด้วย
มีการกำหนดโทษ ๑๐ สถานไว้ดังนี้
๑. ฟันคอ ริบเรือน ริบราชบาทว์ เอาลูกเมียข้าคนเป็นราชบาทว์ ทรัพย์สิ่งของเอาเข้าท้องพระคลังจนสิ้น
๒. ให้ตัดมือตัดเท้าจำใส่ตรุไว้โดยยถากรรม
๓. ทวนด้วยลวดหนังหรือไม้หวาย ๑ ยก ๒ ยก ๓ ยก แล้วประจานจำใส่ตรุไว้เดือนหนึ่ง ๒ เดือน ๓ เดือน
๔. ให้ไหมจตุรคุณ (ปรับไหม ๔ เท่า) แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง
๕. ให้ไหมตรีคูณ แล้วเอาตัวออกจากราชการ
๖. ให้ไหมทวีคูณ แล้วประจาน ๓ วัน ๗ วัน ให้พ้นโทษ
๗. ให้ไหมลาหนึ่ง แล้วให้ใช้ของของเขา
๘. ให้ตัดปากแหวะปากเอามะพร้าวห้าวยัดปาก
๙. ให้ภาคทัณฑ์บนไว้
๑๐. กดอุเบกขาไว้ (เรียกประกันทัณฑ์บน)
โทษทั้ง ๑๐ สถานนี้ ตุลาการเลือกลงแก่ผู้กระทำความผิดที่ร้ายแรงเพียงสถานหนึ่งสถานใดเท่านั้น ไม่ใช่ลงโทษทั้ง ๑๐ สถานแก่ผู้กระทำความผิด ส่วนความผิดที่ร้ายแรงน้อยกว่า กฎหมายกำหนดโทษไว้เพียง ๘ สถานบ้าง ๗ สถานบ้างลดหลั่นกันไป
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๑๙๗๖ ได้มีการบัญญัติกฎหมายเพิ่มเติมห้ามหญิงไทยแต่งงานกับคนต่างด้าวด้วยเหตุผลที่ว่าในสมัยนั้นมีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก หากหญิงไทยไปแต่งงานด้วยอาจจะนำความลับ ของชาติไปให้คนต่างชาติทราบ รวมทั้งอาจจะต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น ซึ่งในสมัยนั้นเป็นเรื่องที่ยังยอมรับไม่ได้
กฎหมายอื่นๆ ที่ออกตามมามีอีกหลายฉบับเช่น การห้ามค้ากำไรเกินควรและการขายสินค้าต้องห้ามแก่ชาวต่างชาติ กฎหมายเรื่องการจับจองที่ดิน ซึ่งแต่เดิมในสมัยพ่อขุนรามคำแหงก็ถือว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของพระมหากษัตริย์ แต่ก็ให้ราษฎรทั้งหลายหักล้างถางพงจับจองที่ดินเพื่อทำไร่นาเลือกสวนได้ โดยจะต้องมีการขออนุญาตแก่เสนาหรือผู้รับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายก่อน
คดีความผิดอาญาในสมัยเดิมนั้น ไม่ได้แบ่งออกเป็นความผิดต่อแผ่นดินหรือความผิดต่อส่วนตัวเหมือนในปัจจุบัน แต่ความผิดที่มีลักษณะเป็นการเสียหายต่อตัวบุคคลโดยตรงและไม่ร้ายแรง ก็ให้คู่ความตกลงยอมความกันได้ โดยอาจจะมีเงินค่าปรับเป็นพินัยหลวง และนำความขึ้นแจ้งแก่เจ้าเมืองหรือกราบบังคมทูล
ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าพระอัยการลักษณะอาญาหลวงนี้เป็นบทลงโทษข้าราชการที่ทุจริตประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ คำว่าพฤติกรรมการทุจริตนี้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔ ได้บัญญัติความหมายของคำไว้อย่างหลากหลาย อาทิ
“การฉ้อราษฎร์บังหลวง” หมายความว่าการที่พนักงานเจ้าหน้าที่เก็บเงินจากราษฎรแล้วไม่ส่งหลวงหรือเบียดบังเงินหลวง
“รีดนาทาเร้น” หมายความว่าขูดรีดเอาทรัพย์สินจนแทบหมดเนื้อหมดตัว
“เบียดบัง” หมายความว่ายักเอาไว้เป็นประโยชน์ของตัว
“คอร์รัปชั่น” หมายความว่าโกง เบียดบัง ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง รับสินบน
ซึ่งหากนำโทษตามที่บัญญัติไว้ในพระอัยการลักษณะอาญาหลวงมาพิจารณา ก็จะเห็นว่า การลงโทษโดยรวมนั้นไม่ได้ต่างกับกฎหมายปัจจุบันมากนัก คือมีการลงโทษที่เบาสุดคือการภาคทัณฑ์หรืออาจจะเทียบได้กับการรอลงอาญา ถ้าโทษมากกว่านั้นก็คือจำคุกหรือริบทรัพย์ด้วย ส่วนโทษสูงสุดก็คือการประหารชีวิตนั่นเอง
ปัจจุบันนี้กฎหมายไทยได้ถูกบัญญัติไว้เป็นจำนวนมาก ในส่วนของประชาชนทั่วไปอาจจะได้ยินเพียงกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง แต่โดยแท้จริงแล้วยังมีกฎหมายอื่นๆ อีกด้วย ในส่วนของกฎหมายอาญาถือว่าเป็นกฎหมายสำคัญ เพราะมีบทลงโทษตั้งแต่รอลงอาญาจนถึงตัดสินประหารชีวิต ได้ถูกบัญญัติไว้เป็นจำนวน ๓๙๘ มาตรา
มาตราที่มีการกล่าวถึงกันมากที่สุดคือมาตรา ๑๕๗ ที่บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” ซึ่งต่อมาได้มีการแก้ไขอัตราโทษเพิ่มเติม เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๖๐
การเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใดก็ตามภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นฉบับปี ๒๕๕๗ รัฐมนตรีทุกคนก่อนจะเข้าปฏิบัติหน้าที่ต้องกระทำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเป็นดังนั้นจึงต้องยึดมั่นในคำปฏิญาณ และดำรงตนให้อยู่ภายใต้กฎหมายของบ้านเมือง รวมทั้งการใช้กฎหมายอย่างถูกต้องเพื่อบริหารจัดการบ้านเมืองด้วย
ตั้งแต่รัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่นั้นประชาชนก็จะได้ยินได้ฟังข่าวจากการนำเสนอของสื่อทุกรูปแบบ ในหลายๆ เรื่องที่ล้วนแต่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า รัฐบาลได้ปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย ที่พึงกระทำหรือไม่อย่างไร
การเลี่ยงกฎหมาย หรือใช้ระเบียบหรือประกาศอื่นที่อ้างว่าออกอย่างถูกต้องโดยกรมราชทัณฑ์ ในการช่วยเหลือนักโทษที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษติดคุก ๘ ปี ด้วยความผิดหลายกระทงซึ่งรวมทั้งการประพฤติมิชอบ และยังได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เหลือ ๑ ปี โดยไม่ต้องจำคุกแม้แต่วันเดียว โดยอ้างว่าเจ็บป่วยร้ายแรง และอายุมากกว่า ๗๐ ปี ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งก็ให้ออกไปกักตัวที่บ้านได้ แต่โดยความจริงก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า นักโทษผู้นี้ไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรง เพราะขณะนี้ก็ได้ออกตระเวนไปในหลายพื้นที่ โดยอ้างเหตุผลต่างๆ ซึ่งดูแล้วไม่เหมาะสม จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าถูกต้อง
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากคือความพยายามที่จะแจกเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้กับประชากรประมาณ ๕๐ ล้านคน ใช้เงิน ๕๐๐,๐๐๐ล้านบาท โดยการนำเงินงบประมาณประจำปี ๒๕๖๗ และ ๒๕๖๘ ร่วมกับเงิน ธ.ก.ส. ที่อ้างว่ายืมแต่ความจริงน่าจะเป็นการกู้ เพราะต้องมีการชดใช้คืนพร้อมดอกเบี้ย โดยมีผู้ที่คัดค้านอย่างมากมายรวมทั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบระบบการเงินของประเทศโดยตรง ก็เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายอย่างยิ่ง แต่ที่ร้ายกว่านั้น อาจจะทำให้กระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของชาติในระยะยาว
นอกจากนี้การตั้งรัฐมนตรีชุดใหม่บางคนก็จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีชนักติดหลัง เคยถูกศาลตัดสินให้ติดคุก กรณีที่มีส่วนรู้เห็นในการนำเงินในลักษณะที่เหมือนจะเป็นการให้สินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของศาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีความของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งประชาชนจำนวนมากมองเห็นถึงความไม่เหมาะสม และขณะนี้ก็ได้มีผู้ร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง และ คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแล้ว ว่าเป็นเรื่องที่กระทำได้หรือไม่
คณะรัฐมนตรีหรือผู้บริหารบ้านเมืองผู้ใดก็ตาม ที่ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน หากไม่รักษาคำปฏิญาณของตนเองไว้ ย่อมเกิดความวิบัติของชีวิตอย่างแน่นอน
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี