วันจันทร์ ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
อาณาจักรสุโขทัย ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาณาจักรแรกของชาติไทย ก่อตั้งขึ้นในปีพุทธศักราช ๑๗๑๘ พระมหากษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรซึ่งนับว่าเป็นพระองค์แรกของชาติไทยด้วยคือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มีพระนามเต็มว่ากมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ และพระนามเดิมคือพ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งเดิม ปกครองเมืองบางยาง
การสร้างอาณาจักรสุโขทัยได้นั้น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ต้องทำศึกสงครามโดยร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด กระทำรัฐประหารขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งปกครองแผ่นดินบริเวณนั้นอยู่ โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมืองศรีสัชนาลัยได้ และพ่อขุนผาเมืองตีเมืองสุโขทัยได้ แต่ก็ได้ยกให้พ่อขุนบางกลางหาวครองเมืองสุโขทัย รวมทั้งมอบพระขรรค์ไชยศรีให้กับพ่อขุนบางกลางหาวด้วย นำมาซึ่งการสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี นับเป็นต้นราชวงศ์พระร่วง
อาณาจักรสุโขทัย มีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ พระมหากษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพ่อขุนบาลเมืองผู้เป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และหลังจากสวรรคต พ่อขุนรามคำแหงผู้เป็นพระอนุชาก็ขึ้นครองราชย์แทน ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๑๘๒๒ เป็นต้นมา
พ่อขุนรามคำแหงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นมหาราชพระองค์แรกของชาติ ทรงเป็นผู้ที่มีความสามารถในด้านการรบและมีความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง โดยพระองค์ได้เคยตามเสด็จพระราชบิดาคือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ในการออกไปรบ กับพ่อขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ที่ยกทัพมารุกรานเมืองศรีสัชนาลัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงสุโขทัย โดยทรงไสช้างเข้าขวางช้างของพ่อขุนสามชนที่กำลังจะได้เปรียบพ่อขุนศรีอินทราทิตย์และได้เข้าต่อสู้แทนจนเอาชนะได้ ทัพของพ่อขุนสามชนแตกพ่ายไป ในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง ๑๙ พรรษา
เมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ ทรงได้แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการปกครองบ้านเมืองหลายประการ ทั้งเรื่องการต่อสู้ปกป้องบ้านเมือง การขยายอาณาเขต การเศรษฐกิจ การค้า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การศาสนาซึ่งล้วนแต่ทำให้ประชาราษฎร์อยู่อย่างเป็นสุข และที่สำคัญยิ่งที่สุดคือการประดิษฐ์อักษรไทยเมื่อปีพ.ศ.๑๘๒๖
ในส่วนของการขยายอาณาเขต ต้องกล่าวว่าอาณาจักรสุโขทัยในยุคของพระองค์มีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล โดยทางทิศเหนือ ได้ขยายจนถึงแคว้นล้านนารวมทั้งลำปาง แพร่ น่าน เมืองปัว ข้ามฝั่งแม่น้ำโขง ไปหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และเวียงคำในประเทศลาว
ด้านทิศตะวันตก ก็ขยายอาณาเขตจนครอบครองอาณาจักรมอญไว้ได้ทั้งหมด โดยได้มีการชุบเลี้ยง มะกะโท อำมาตย์เชื้อสายมอญผู้มีสติปัญญา ให้มารับราชการใกล้ชิด ซึ่งในที่สุดได้พาพระราชธิดาของพระองค์หลบหนีไป แต่พระองค์ก็มิได้เอาผิด และได้สนับสนุนให้มะกะโทได้เป็นใหญ่ครอบครองเมืองมอญ ได้กระทำพิธีราชาภิเษกและพระราชทานนามให้ว่าพระเจ้าฟ้ารั่ว และพระองค์ยังสามารถครอบครอง เมาะตะมะ และหงสาวดีด้วย
ทางด้านทิศใต้ หลักฐานตามหลักศิลาจารึกกล่าวว่าพระองค์ทรงขยายอาณาเขต ไปจดแหลมมาลายู ได้เมืองต่างๆ มาเกือบทั้งหมด ทั้งนครศรีธรรมราช มะละกา ทวาย ตลอดรวมไปถึงเมืองยะโฮ และเกาะสิงคโปร์ในปัจจุบันนี้
ในส่วนของภาคกลาง พระองค์ได้ขยายอาณาเขตครอบคลุมตั้งแต่พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อู่ทอง เพชรบูรณ์ ศรีเทพ ลงไปถึง ราชบุรี เพชรบุรี ตะนาวศรี และเมืองอื่นๆ โดยรอบ ก่อนที่สามารถจะเอาชนะอาณาจักรขอม ซึ่งมีเมืองละโว้ หรือลพบุรีเป็นจุดศูนย์กลางได้ในที่สุด
ทางด้านทิศตะวันออก พระองค์ทรงยกทัพไปตีเขมรและครอบครองได้สำเร็จในปีพุทธศักราช ๑๘๔๒ โดยก่อนหน้านั้นได้ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับราชวงศ์หงวนของจีน เพื่อป้องกันมิให้จีนยกมารุกรานบริเวณดังกล่าว จึงกล่าวได้ว่า อาณาจักรสุโขทัยในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก
ในเรื่องเศรษฐกิจการค้า ซึ่งส่งผลถึงการทะนุบำรุงบ้านเมือง พระองค์ทรงสนับสนุน เรื่องการค้าพาณิชย์เป็นอย่างมาก โดยให้มีการยกเลิกการเก็บภาษีอากรและจังกอบ เปิดโอกาสให้ผู้คนไปมาค้าขายได้สะดวกขึ้น ดังมีข้อความปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า “เพื่อนจะจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจะใคร่ค้าช้างค้าใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจะใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า” นอกจากนี้พระองค์ยังเสด็จไปประเทศจีนถึง ๒ ครั้ง เพื่อนำเอาช่างปั้นถ้วยชามมาฝึกสอนคนไทยให้รู้จักวิธีทำถ้วยชามเครื่องเคลือบดินเผา อันเป็นที่มาของเครื่องสังคโลก ที่มีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบันนี้ และทำให้มีชาวจีนเดินทางเข้ามาค้าขายที่กรุงสุโขทัยด้วยเช่นกัน
ด้านการศาสนา ต้องกล่าวว่าเป็นยุคที่ศาสนาพุทธมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เพราะพระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาพุทธ และยังให้คนไทยที่ได้ไปบวชเรียนตามลัทธิลังกาวงศ์ที่ประเทศศรีลังกา เมื่อกลับมาเมืองไทยได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองนครศรีธรรมราช ก็ได้เดินทางไปพบ แล้วนิมนต์พระภิกษุนั้นให้มาเป็นพระสังฆราชอยู่ที่กรุงสุโขทัย เพื่อเผยแพร่ศาสนา เพื่อให้ราษฎรได้ใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข รวมทั้งยังได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากลังกาด้วย
ในเรื่องการปกครองนั้น พระองค์ทรงทำให้อานาประชาราษฎร์มีความเป็นอยู่อย่างเป็นสุข เพราะพระองค์จะทรงถือเสมือนว่าเป็นบิดาของราษฎรทั้งหลาย ดังข้อความในหลักศิลาจารึกที่ว่า “เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูก็เอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่อบ้านท่อเมือง ได้ช้างได้งวง ได้ผัวได้นาง ได้เงินได้ทองกูเอามาแวนแก่พ่อกู” ทรงให้คำแนะนำสั่งสอนเช่นเดียวกับบิดาจะมีต่อบุตรโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ และหากราษฎรผู้ใดมีเรื่องจะร้องทุกข์ ก็อนุญาตให้เข้าเฝ้าได้ โดยให้มาสั่นกระดิ่งที่ติดไว้ที่ประตูพระราชวัง และพระองค์จะทรงรับเรื่องและพิจารณาตัดสินอย่างเป็นธรรม โดยจะเสด็จออกไปประทับที่พระแท่นศิลาอาสน์เพื่อตัดสินเรื่องราวต่างๆ และยังใช้พระแท่นนี้ให้เป็นที่นั่งของพระสงฆ์เพื่อสั่งสอนศาสนาให้ราษฎรด้วย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงเป็นตัวอย่างของพระมหากษัตริย์ชาติไทยที่นอกจากจะทรงต่อสู้ทำศึกสงครามป้องกันบ้านเมืองและขยายอาณาเขตแล้ว ยังปกครองบ้านเมืองให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในทุกทาง และราษฎรได้อยู่อาศัยอย่างเป็นสุข สมกับชื่อของคำว่า สุโขทัย ซึ่งแปลว่า รุ่งอรุณแห่งความสุข
มาถึงการบริหารบ้านเมืองในยุคนี้ของประเทศไทย ที่กล่าวกันว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งให้ประชาชนมาเป็นผู้แทนราษฎรจัดตั้งรัฐสภา โดย ผู้แทนส่วนหนึ่งเป็นรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารสูงสุด
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากการบริหารบ้านเมืองโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็คือ เกือบตลอดระยะเวลา ๙๐ ปีที่ประเทศไทยปกครองโดยระบอบนี้ รัฐบาลที่เข้ามาในแต่ละยุค ยังไม่อาจจะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้บ้านเมือง ตลอดจนทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีสุขได้ถ้วนหน้าอย่างแท้จริง และยังมีนักการเมืองระดับผู้นำของประเทศตลอดจนผู้ที่มีสายสัมพันธ์ ได้กระทำการทุจริตประพฤติมิชอบไม่มากก็น้อยโดยเสมอมา จนประเทศไม่อาจจะมีความก้าวหน้าและถูกพัฒนาให้ทันสมัยได้อย่างแท้จริง
การบริหารของรัฐบาลในหลายยุค มุ่งเน้นนโยบายประชานิยม เพียงเพื่อหวังคะแนนเสียง มีเพียงน้อยครั้งที่จะคำนึงถึงการปรับโครงสร้างการบริหาร เพื่อการสร้างเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงตั้งแต่ระดับรัฐบาลลงไปถึงระดับของชุมชน อันจะทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข ในด้านการศึกษาก็มีความตกต่ำมาก โดยขณะนี้มีเด็กที่ต้องอยู่นอกระบบการศึกษามากกว่า ๑ ล้านคน จนน่าเป็นห่วงว่าอนาคตของชาติจะหาคนดีมาบริหารประเทศได้อย่างไร ตลอดจนสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนก็ไม่ดีขึ้น ต้องบอกเลยว่าเศรษฐกิจของชาติขณะนี้กำลังเข้าสู่อาการขั้นโคม่าจากการบริหารการเงินการคลังและงบประมาณที่ไม่มีแผนมี่ดีและไม่มีความชัดเจน ทำให้ดัชนีมวลรวมของประเทศตกต่ำมาโดยตลอด
ประชาชนคงต้องรอโดยไม่อาจคาดหวังได้ว่าเศรษฐกิจซึ่งผูกโยงกับความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้นเมื่อไร แต่ประเด็นที่สำคัญมากขณะนี้คือความห่วงใยของประชาชนที่รัฐกำลังดำเนินการทางอ้อมให้มีการขายพื้นที่ของประเทศ ทั้งในรูปแบบของอาคารเช่าและที่ดินเพื่อการใช้สอย ที่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในมือเจ้าของธุรกิจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆเท่านั้น จนน่าเป็นห่วงว่าในที่สุดจะมีชาวต่างชาติถือครองแผ่นดินไทยและที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมากเกินที่จะนับ จนแผ่นดินนี้กลายเป็นของต่างชาติไปเรื่อยๆ แล้วชาวไทยที่จะอยู่ไปในอนาคตจะอยู่กันได้อย่างไร
รัฐบาลควรจะต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อปกป้องแผ่นดินของชาติ แผ่นดินที่พระมหากษัตริย์ในอดีตตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยได้อุทิศทั้งเลือดเนื้อและชีวิตหาไว้ให้ แต่หากรัฐบาลไม่ทำ ก็คงต้องถึงเวลาแล้วที่พวกเราชาวไทยจะต้องร่วมกันต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินผืนนี้ให้เป็นของชาติและชาวไทยตลอดไป
ปิยะ เนตรวิเชียร

'กัมพูชา'เฟกนิวส์อีก! กระพือข่าว ทหารพรานไทยทำร้ายร่างกายแรงงานหญิงชาวเขมร
'ธรรมนัส'เผยราคาข้าวเริ่มปรับตัวดีขึ้น คาดราคารับซื้อข้าวหอมมะลิ ปรับตัวถึง 15,000 บาทต่อตัน
จิตวิญญาณไม่เคยหาย! ที่แท้'อดีตหัวหน้าดับเพลิง' ลุยเดี่ยวระงับเหตุเพลิงไหม้
กองเรือยุทธการ สั่งเตรียมพร้อม ‘เรือหลวงจักรีนฤเบศร’ งดเยี่ยมชมชั่วคราว หวั่นถูกสอดแนม
'รวมไทยสร้างชาติ' รุกคืบปักธง 'กาญจนบุรี' เปิดสำนักงานตัวแทนพรรคแห่งใหม่

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี