วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568
วันนี้ ๒๔ มิถุนายน ต้องถือว่าเป็นวันที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ซึ่งทำให้ประเทศถูกเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้นั้นอาจจะต้องย้อนไปถึงเหตุการณ์ในร.ศ.๑๓๐ เมื่อมีคณะผู้ก่อการคณะหนึ่งพยายามที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ โดยคณะผู้ก่อการถูกจับกุมทั้งหมด ซึ่งหลังจากนั้นแนวคิดของการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ก่อตัวเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ จนเป็นเหตุการณ์ที่ตกผลึกในที่สุด
คณะนายทหารผู้ก่อการรวมทั้งราษฎรที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน ที่เรียกตัวเองว่าคณะราษฎรจำนวนประมาณ ๙๙ คน อันประกอบไปด้วยพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ์ ส่วนฝ่ายราษฎรนั้น มีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นหลักได้ร่วมกันกระทำการนี้ในวันดังกล่าวในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โดยมีการเตรียมตัวล่วงหน้าในทางลับมาระยะหนึ่งแล้ว
กลุ่มผู้กระทำการดังกล่าวได้เลือกลงมือในวันที่รัชกาลที่ ๗ เสด็จแปรพระราชฐาน ณ วังไกลกังวล หัวหิน ด้วยเกรงว่าหากจะกระทำการปฏิวัติในวันที่พระองค์ยังทรงประทับอยู่ในพระนคร อาจจะได้รับการโต้ตอบสู้ตายถวายชีวิตจากบรรดาทหารฝ่ายรัฐบาลที่ยังจงรักภักดี รวมทั้งราษฎรส่วนใหญ่จำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว อันอาจจะเป็นเหตุให้เกิดสงครามกลางเมืองมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากก็เป็นได้
ในเช้ามืดของวันเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น นายทหารทั้ง ๓ พร้อมกำลังจำนวนหนึ่ง ได้ตรงเข้าไปยึดกรมทหารม้าที่ ๑ ซึ่งเป็นกำลังหลักของกองทัพที่ ๑ โดยได้สั่งให้ทหารเวรเปิดประตูกรม พร้อมกับประกาศว่าเกิดกบฏขึ้นในพระนคร และเข้าไปปลุกทหารทุกคนให้ตื่นขึ้นเตรียมพร้อม ทำให้เหล่าทหารชั้นผู้น้อยและผู้ใหญ่หลงเชื่อ ระดมกำลังพลนับพันนายออกไปรวมตัวกันอยู่ที่หน้าพระที่นั่ง อนันตสมาคม บริเวณพระบรมรูปทรงม้า
ขณะเดียวกัน พันเอกพระยาฤทธิอัคเนย์ ซึ่งร่วมอยู่กับคณะราษฎรเช่นกัน และเป็นผู้บังคับบัญชากรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ก็ได้ยกกำลังเข้าร่วมสมทบด้วย รวมทั้งพระเหี้ยมใจหาญ ผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยก็สั่งให้นักเรียนนายร้อยออกมาฝึกหัดในบริเวณลานพระราชวังดุสิตโดยไม่ทราบความจริง ทำให้มีทหารจำนวนประมาณ ๒,๐๐๐ นายรวมตัวกันอยูที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยไม่รู้ความจริงว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
หลังจากนั้นจึงมีการจับกุมจอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้ทรงได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร แทนในช่วงที่พระองค์รัชกาลที่ ๗ เสด็จแปรพระราชสถานรวมทั้งการจับกุมบุคคลสำคัญอื่นๆ ซึ่งประกอบไปด้วยเจ้านายชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า สมเด็จกรมพระยา หม่อมเจ้าอีกหลายพระองค์ที่ทำหน้าที่ผู้อารักขาเป็นตัวประกันทั้งสิ้นจำนวน ๒๕ นาย เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองด้วย
ในส่วนของการตัดการสื่อสาร ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญอีกประการหนึ่งของการปฏิวัติรัฐประหารนั้น เป็นหน้าที่ของนายร้อยโทประยูร ภมรมนตรี และคณะฯ อันได้แก่ หลวงโกวิทอภัยวงศ์หรือนายควง อภัยวงศ์ นายวิลาศ โอสถานนท์และนายประจวบ บุนนาค ได้เข้าทำการตัดสายโทรเลขกับโทรศัพท์ และยังมีการนำกำลังทหารเรือโดยนายเรือเอกหลวงนิเทศเข้ายึดที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข ทำให้กองกำลังของรัฐบาลไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้
การปฏิวัติสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ในฐานะที่อ้างว่าเป็นหัวหน้าคณะราษฎรปรากฏตัวต่อที่ชุมนุมทหาร เบื้องพระพักตร์ต่อพระบรมรูปทรงม้า และกล่าวสุนทรพจน์มีใจความโดยสรุปว่า
เมื่อชาติกำลังประสบความวิปโยค เศรษฐกิจตกต่ำฝืดเคือง มีคนว่างงานมากมาย มีการลดเงินเดือนข้าราชการ ขณะเดียวกัน ก็ยังมีการเก็บภาษี ทั้งๆ ที่ราษฎรเดือดร้อนทำนาไม่ได้ ประชาชนยากจนข้นแค้น ซึ่งผู้ปกครองแผ่นดินแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ อันเป็นผลมาจากการปกครองรูปแบบเดิมที่เป็นมายาวนาน จึงถึงเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เหมือนกับประเทศต่างๆ หลายแห่งทั้งในยุโรปและเอเชีย โดยจะต้องมีรัฐธรรมนูญการปกครองใหม่ที่ให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นด้วย ทำให้บ้านเมืองที่กล่าวถึงนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปเป็นอย่างดี รวมทั้งความเป็นอยู่ของประชาชนก็ดีขึ้นด้วย
ในตอนสายของวันนั้น นายปรีดี พนมยงค์ที่มีตำแหน่งเป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ที่ถูกส่งไปศึกษาวิชากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อจะกลับมารับใช้ราชการ ที่นับว่าเป็นคนสำคัญในคณะราษฎรก็ได้ดำเนินการออกคำประกาศคณะราษฎร โดยทำเป็นใบปลิวแจกจ่ายอย่างแพร่หลายสู่สาธารณชน มีใจความโดยสรุปที่ทำให้ผู้ได้อ่านเชื่อว่าคณะราษฎรที่จะจัดการปกครองโดยมีสภานั้น จะทำให้ประเทศชาติดีขึ้น เพราะไม่ใช่เป็นการปกครองโดยความคิดของใครผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ประชาชนทุกคนจะมีส่วนร่วมในการออกความเห็น มีสิทธิเสมอภาคกัน มีอิสรเสรีภาพ ได้รับการศึกษาที่ดี มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทำให้ประชาชนหลงเชื่อกับคำประกาศดังกล่าว ซึ่งทำให้ไม่เกิดปัญหาลุกลามต่อการปฏิวัติครั้งนี้
ในวันถัดมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ก็ได้มีพระราชหัตถเลขาถึงคณะราษฎร ว่า “คณะทหารมีความปรารถนาจะเชิญให้ข้าพเจ้ากลับพระนคร เป็นกษัตริย์อยู่ใต้พระธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ข้าพเจ้าเห็นแก่ความเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ กับทั้งเพื่อจัดการโดยละม่อมละไม ไม่ให้ขึ้นชื่อว่าได้จลาจลเสียหายแก่บ้านเมืองและความจริงข้าพเจ้าก็ได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงตามทำนองนี้ คือมีพระเจ้าแผ่นดินตามพระธรรมนูญ จึงยอมรับที่จะช่วยเป็นตัวเชิด เพื่อให้คุมโครงการตั้งรัฐบาลให้เป็นรูปวิธี เปลี่ยนแปลงตั้งพระธรรมนูญโดยสะดวก”
ในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว และต่อมาในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕ จึงมีการพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
ประเทศไทยจึงมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาตั้งแต่นั้น แต่สิ่งที่เกิดติดตามมาก็คือการแก่งแย่งเพื่อชิงอำนาจในการปกครองของรัฐบาลและนักการเมืองต่อๆ กันมา ทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยช่วงระยะเวลา ๙๐ ปีเศษนั้น มีการรัฐประหารเกิดขึ้นจำนวน ๑๓ ครั้ง และมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ๒๐ ฉบับ
แต่ถึงแม้จะมีรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง ๒๐ ฉบับ เมื่อมีคณะรัฐบาลใหม่เกิดขึ้นเมื่อใด ก็จะมีความพยายามในการแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นยังไม่เป็นที่ถูกใจของคณะรัฐบาลหรือนักการเมืองทั้งหลายที่กำลังทำหน้าที่อยู่ โดยเนื้อแท้ก็คงจะมีสาเหตุจากเนื้อหาในรัฐธรรมนูญอาจจะยังไม่เป็นที่ถูกใจในกระบวนความคิดของนักการเมือง แต่ที่สำคัญคือไม่สมประโยชน์ต่อการที่ต้องการให้ประเทศไทยเดินไปในทิศที่พวกเขาทั้งหลายอยากจะได้ และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญยังเปิดให้มีบทลงโทษนักการเมืองที่กระทำผิดอีกด้วย ซึ่งเหล่านี้น่าจะเป็นเหตุผลแห่งการมุ่งมั่นในการแก้หรือจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งสิ้น
นักการเมืองบางคนหรือบางพรรค ที่มักจะอ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชน ยังคงยึดโยงและเชื่อมั่นในแนวความคิดและความตั้งใจของผู้นำคณะราษฎรบางคนที่ไปศึกษาวิชากฎหมายหรือรัฐศาสตร์ในประเทศฝรั่งเศส ที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญโดยลดบทบาทและอำนาจของพระมหากษัตริย์ลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถือว่าเป็นความคิดที่เลวร้าย และเป็นการเนรคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถึงอย่างไรสถาบันนี้ก็ทำให้ชาติไทยยืนยงคงอยู่มาได้เป็นระยะเวลาเกือบ ๘๐๐ ปีแล้ว
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ไม่มีส่วนไหนเลยที่ให้อำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่จะกระทำการอันอาจจะเป็นภัยต่อชาติและราษฎรได้ แต่ประชาชนและนักการเมืองบางคนบางส่วนต่างหากเล่า ที่พยายามอย่างยิ่งในการกระทำการที่เป็นการคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงควรแล้วหรือที่อำนาจสูงสุดควรเป็นของนักการเมืองหรือราษฎรที่มีจิตสำนึกที่ไม่ดีและไม่อาจแยกแยะความถูกผิดได้
ปิยะ เนตรวิเชียร

สีหศักดิ์ บรรยายสรุปคณะทูต เผยไทยเลื่อนปล่อย 18 ทหารเขมร เซ่นกัมพูชาบินโดรน
กองทัพเรือสกัดเรือบรรทุกน้ำมันต้องสงสัย กลางอ่าวไทย เข้มสกัดลำเลียงยุทธปัจจัยไปยังกัมพูชา
กรรชัย ฟาด โดม ปกรณ์ ลัม อย่าแพ้เสียงในหัว หยุดพูดคำว่าไม่รู้เป็นลูกหญิงหน่อย
เลือกแล้วค่ะ เลือกพรรคภูมิใจไทยแล้วค่ะ 'ฮาย อาภาพร' ขึ้นรถสาย 37 อีกคน (คลิป)
กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานพรปีม้า เรี่ยวแรงดี เข้มแข็ง แข็งแรงทั้งกาย-ใจ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี