คนไทยที่เกิดในยุคที่เรียกว่า Baby boomer รวมทั้งผู้ที่เกิดก่อนยุคดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันจะมีอายุ เกินกว่า๖๐ ปีขึ้นไป น่าจะคุ้นเคยกับคำว่าอั้งยี่พอสมควร โดยส่วนใหญ่ก็จะเข้าใจว่าหมายถึงกลุ่มคนจีน ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ในช่วงต้นๆ ของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ และได้กระทำการบางอย่างซึ่งคุกคามความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้ให้ความหมายของคำว่าอั้งยี่ หมายถึงการรวมตัวหรือการสมาคมใด ที่ทำการไม่ต้องตามกฎหมาย ซึ่งคำว่าอั้งยี่นี้ต่อมาได้ถูกนำมาใช้ อย่างแพร่หลาย ว่าเป็นการรวมตัวของกลุ่มหรือสมาคมใดโดยไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นการรวมตัวของชนชาติใด ไม่จำเป็นต้องเป็นของกลุ่มคนจีนเท่านั้น
ชาวไทยและชาวจีนมีความสัมพันธ์กันมายาวนาน โดยประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์นี้ตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย โดยได้กล่าวถึงการเดินทางของพระมหากษัตริย์บางพระองค์ไปยังเมืองจีน และขณะเดียวกันก็มีชาวจีนเดินทางมายังกรุงสุโขทัยเพื่อทำการค้าขายเช่นกัน
ประวัติศาสตร์ในยุคต่อๆ มา ถึงแม้จะไม่มีเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมากนัก แต่ก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของชาวจีนและชาวไทยไม่ได้ลดน้อยลงไป มีแต่จะมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และในบางครั้งก็จะพบว่าชาวจีนได้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังทหารไทย ในการสู้รบกับข้าศึกศัตรู ที่มารุกรานประเทศไทยด้วย
ในช่วงปลายของอาณาจักรอยุธยา ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ ซึ่งเป็นปีที่ชาติไทยต้องเสียอิสรภาพเป็นครั้งที่ ๒ นั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่เชื่อกันว่า เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีเชื้อสายจีน เนื่องจากบิดาเป็นชาวจีน ซึ่งขณะนั้นมียศเป็นพระยาวชิรปราการ ปกครองเมืองกำแพงเพชร ก็ได้เข้ามาช่วยต่อสู้กับกองทัพของพระเจ้ามังระจากพม่าที่ยกมาตีกรุงศรีอยุธยาด้วย และเมื่อเห็นว่ากรุงศรีอยุธยา น่าจะต้องพ่ายแพ้และล่มสลายเป็นแน่แท้ จึงได้ตัดสินใจที่จะนำกำลังส่วนหนึ่งซึ่งมีทั้งทหารไทยและชาวจีนที่ช่วยรบให้กับพระองค์จำนวนประมาณ ๕๐๐ นาย ยกทัพหนีออกจากค่ายโพธิ์สามต้น กรุงศรีอยุธยา โดยตั้งใจว่าจะได้มีโอกาสไปรวบรวมกำลังไพร่พลให้มีความเข้มแข็งและจำนวนมากเพียงพอที่จะกลับมากู้ชาติได้ ซึ่งในที่สุดพระองค์ก็กระทำการได้สำเร็จ ทำให้ชาติไทยได้รับอิสรภาพคืนมา หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาไปเพียงแค่ ๗ เดือนเศษ
จากการที่ชาติไทยของเราเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ จนได้ชื่อว่าเป็นสุวรรณภูมิหรือแผ่นดินทองนั้น ทำให้มีพ่อค้าวานิชจากต่างชาติทั้งในแถบเอเชียและยุโรปเข้ามาทำการค้าขายอย่างมากมายตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา โดยจีน เป็นชาติหนึ่งที่มีการค้าขายกับชาติไทยอย่างมากมาย ทำให้ชาวจีนจำนวนไม่น้อย มีความตั้งใจที่จะมาอาศัยอยู่ในอาณาจ้กรของไทย และก็มีเหตุการณ์ประจวบเหมาะที่ทำให้ชาวจีนจำนวนมากอพยพจากประเทศจีนมาอยู่ในเมืองไทย ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งอยู่ในช่วงต้นของกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ประเทศจีนเกิดความแห้งแล้งอย่างมาก แม้แต่สิงสาราสัตว์ และต้นไม้ก็แห้งตายเป็นจำนวนมาก มีการกดขี่ข่มเหง คดโกงและรีดไถเกิดขึ้นในระบบราชการในสมัยนั้น มีการจัดเก็บภาษีที่เอาเปรียบเกษตรกรและชาวนา ตลอดจนมีประชากรเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวจีนจำนวนมากมุ่งมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ
ว่ากันว่าชาวจีนส่วนใหญ่จะทยอยกันมาลงเรือที่เมืองซัวเถา และยอมเสี่ยงตายจากพายุในทะเล และการเจ็บป่วยขณะที่รอนแรมอยู่บนเรือสินค้ารับจ้างขนผู้โดยสารที่เรียกกันว่าเรือสำเภา เพื่อเดินทางมาขึ้นบกตามเมืองชายฝั่งของดินแดนสุวรรณภูมินี้ โดยกลุ่มชนที่มามากที่สุดคือชาวแต้จิ๋ว
แน่นอนว่าในกลุ่มชาวจีนที่เดินทางมานั้น มีทั้งคนดีที่ตั้งใจมาตั้งต้นชีวิตใหม่ในชาติของเรา แต่ขณะเดียวกันก็มีพวกที่เป็นพวกนอกกฎหมาย แก๊งอาชญากรต่างๆ แฝงตัวปะปนออกมาด้วย เพราะการเดินทางในสมัยก่อนไม่มีการตรวจสอบประวัติของผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศเหมือนอย่างในปัจจุบันนี้
ชาวจีนที่เดินทางมาส่วนหนึ่งเป็นพวกนอกกฎหมาย ส่วนหนึ่งเป็นพวกที่หนีการไล่ล่าจากการก่อกบฏ ในสมัยของพระเจ้าคังฮี เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยในต้นรัชกาลที่ ๓ ก็มีการรวมตัวทำการค้าขายในสินค้านอกกฎหมาย เช่น ฝิ่น โดยหัวหน้าใหญ่จะเรียกตัวเองว่าตั้วเฮีย ชั้นรองลงมาเรียกว่ายี่กอและซากอตามลำดับ การลักลอบนำฝิ่นเข้ามาขาย ซึ่งทำให้มีผู้ติดฝิ่นจำนวนมากทั้งคนจีนและคนไทย ทำเรื่องผิดกฎหมายและมีคดีความต่างๆ เกิดขึ้น จนอาจจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ถึงขนาดต้องมีการปราบปราม เช่น เหตุการณ์ที่นครชัยศรีในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ และในปีต่อมาพวกตั้วเฮียที่ฉะเชิงเทรากำเริบถึงกับเป็นกบฏ ยิงผู้ว่าราชการเมืองตาย เข้ายึดป้อม ต้องมีการยกทัพไปปราบ จนผู้ที่สร้างปัญหาเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์จึงสงบลงได้
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษี จึงดูเหมือนว่าการตั้งสมาคมหรือกลุ่มอั้งยี่ลดน้อยลง แต่ในช่วงปลายรัชกาลก็เกิดปัญหาขึ้นอีกที่ภูเก็ต กลุ่มอั้งยี่ได้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็งตั้งเป็นสมาคมนอกกฎหมายเชื่อมโยงกับการค้าขายแร่ดีบุก และหลีกเลี่ยงการชำระภาษี จนถึงขนาดที่มีการก่อกบฏ เมื่อวันตรุษจีน วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๙ มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก บ้านเรือนราษฎรและวัดวาอารามถูกเผาทำลายเสียหายหลายแห่ง กลุ่มอั้งยี่เหล่านั้นตอนที่ยังอยู่ในประเทศจีนมีการตั้งเป็นสมาคม เช่น เทียนตี้หุยแปลว่าสมาคมฟ้าดิน ซานห่อหุยแปลว่าองค์กรฟ้าดินมนุษย์ ก็ตั้งกลุ่มเป็นพวกใหญ่ๆ คือพวกยี่หินและพวกกงสีปุนเถ้าก๋ง ในที่สุดก็ถูกปราบปรามไปหมด
กระบวนการอั้งยี่ยังมีต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ มีการตราพระราชบัญญัติ ห้ามมีอั้งยี่ จึงดูเหมือนว่าการเกิดเหตุการณ์อั้งยี่จะสงบลง แต่ก็ยังมีชาวจีนบางกลุ่มดำเนินการสร้างอิทธิพลแบบอั้งยี่ เช่น กลุ่มที่ก่อตั้งโรงเหล้าเถื่อน ที่ดอนกระเบื้อง จังหวัดราชบุรี และมีการสะสมกำลังเพื่อจะต่อสู้กับภาครัฐ จึงถูกปราบปรามในปี พ.ศ.๒๔๓๕ นอกจากนี้ก็ยังมีอั้งยี่กลุ่มเล็กๆ ที่แย่งผลประโยชน์ซึ่งกัน และในที่สุดก็ตีกันเอง ทำให้รัฐยังต้องปราบปรามโดยตลอดมา จนกระทั่งถึงช่วงรัชกาลที่ ๖ กระบวนการอั้งยี่ก็หมดไป
ในประเทศไทยนั้นอาจกล่าวได้ว่า ถึงแม้กระบวนการอั้งยี่จะหมดไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนบางคนซึ่งมีขัอมูลว่าสืบเชื้อสายมาจากอั้งยี่ที่จังหวัดจันทบุรี เป็นอั้งยี่ระดับหัวหน้าคณะที่มีชื่อว่าคณะงี่เฮง บ้านบางกะจะ อำเภอพลอยแหวน เมืองจันทบุรีในยุคที่ฝรั่งเศสยึดครองเมืองไว้เป็นหลักประกันเพื่อให้ประเทศไทยต้องจ่ายค่าตอบแทนกรณีร.ศ. ๑๑๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั่นเอง โดยบุคคลนั้นเป็นบุตรของชาวจีนคนหนึ่งที่อพยพจากเมืองจีนเข้ามาพึ่งใบบุญประเทศไทยประมาณปีพ.ศ.๒๔๐๓ โดยตั้งตนเป็นนายอากรบ่อนเบี้ย คือการเล่นกำตัด กำถั่ว และไพ่งา เป็นต้น
การประพฤติตนเป็นอั้งยี่ของบุคคลดังกล่าว รวมทั้งสมัครพรรคพวก และผู้สืบเชื้อสายได้ทำให้เกิดปัญหากับท้องถิ่น ทั้งในเรื่องของการหลบเลี่ยงภาษีอากร และเรื่องผิดกฎหมายอื่นๆ จนถูกจับเพื่อพิจารณาดำเนินคดี แต่เมื่อพ้นโทษออกมา แทนที่จะสำนึกผิด และทราบว่าผู้พิพากษาที่ตัดสินให้ตนเองติดคุก มาประจำ ตำแหน่งที่จันทบุรี จึงได้ส่งคนรอบไปทำร้ายเพื่อเป็นการแก้แค้น ทำให้ต้องถูกจับ และพิพากษาตัดสินจำคุกอีกครั้งหนึ่ง โดยถูกส่งตัวเข้ามาคุมขังในกรุงเทพฯ
ภายหลังจากพ้นโทษ จึงมีการย้ายครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในอำเภอสันกำแพง ประกอบธุรกิจต่างๆ มีลูกหลานสืบตระกูล ซึ่งต่อมาลูกหลานก็เริ่มเข้ามาสู่เส้นทางการเมือง เริ่มต้นจากระดับท้องถิ่นจนมาถึงประเทศ มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นถึงผู้บริหารสูงสุดของประเทศ แต่ก็ต้องคดีคอร์รัปชันโกงกินบ้านเมือง จนถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นระยะเวลา ๘ ปี แต่ก็ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ที่เคยมี รวมทั้งอิทธิพลต่างๆ ดำเนินการจนกระทั่ง ถึงแม้ว่าจะยังมีสภาพเป็นนักโทษ ซึ่งจะต้องถูกกักตัวจนกว่าจะพ้นโทษ แต่ก็ร่อนเร่ไปมาโดยตลอด และดูเหมือนว่ามีความตั้งใจพี่จะหาโอกาสกลับมาบริหารบ้านเมือง ไม่โดยตัวเองก็โดยลูกหลานที่สืบตระกูล ซึ่งไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องยืนยันได้เลยว่า พฤติกรรมที่ไม่เคยหวังดีต่อชาติบ้านเมืองโดยแท้จริงนั้นจะไม่ถูกสืบทอดต่อไป
คำพูดที่ว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว เป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ แต่ถ้าเชื้อดั้งเดิม เป็นเชื้อร้าย แถวที่เดินตามมาก็ย่อมจะเป็นเชื้อร้าย อันเป็นพิษต่อประเทศชาติเช่นกัน
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี