เสียงสะท้อนในโลกโซเชียลเขาว่า ยามที่บ้านเมือง“ข้าวยากหมากแพง” เรียกว่าสินค้าข้าวปลาอาหารผักหญ้าแพงทั้งแผ่นดิน นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“เศรษฐา ทวีสิน” กลับไปลั้ลลาอยู่ในต่างประเทศ และบริษัทแสนสิริที่ลูกสาวถือหุ้นใหญ่ก็มีแต่รวยกับรวย
9 เดือนที่นายเศรษฐา ทวีสินเป็นนายกรัฐมนตรี จากการเดินสาย“เวิลด์ทัวร์”ในต่างประเทศทั้งหมด 17 ครั้ง 15 ประเทศนั้น ประมาณการกันว่า ผลาญเงินงบประมาณแผ่นดินไปแล้วประมาณ 1 พันล้านบาท
โดยคำนวณจากค่าเหมาเครื่องบิน ค่าที่พัก ตลอดจนค่ากินค่าอยู่ทั้งคณะที่เป็นข้าราชการและรัฐมนตรี เฉลี่ยทริปละ 50 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ
อีกทั้งเงินจำนวน 1 พันล้านบาทที่ถูกถลุงไปนี้ ยังถือว่าสูญเปล่าอีกด้วย เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับกลับมา เพราะทุกเรื่องทุกโครงการที่นายเศรษฐา ทวีสิน ประกาศตัวเป็นเซลส์แมนเบอร์หนึ่งของประเทศนำไปโฆษณาชักชวนให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในบ้านเรานั้น มีแต่ราคาคุย และล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างไรก็มิอาจรู้ได้
ในโลกโซเชียลเขาจึงค่อนขอดว่า ที่พรรคเพื่อไทยมักจะบิดเบือนหลอกลวงคนไทยที่รู้ไม่เท่าทันว่า 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีอะไรนั้น เมื่อเทียบกับ 9 เดือนที่นายเศรษฐา ทวีสิน อยู่มา กลับมีแต่“สาละวันเตี้ยลง”
หากดูตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นตัวชี้วัด เรียกว่าติดลบแทบจะทุกตัว ทั้งนี้จากการแถลงล่าสุดของสภาพัฒน์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ระบุว่าจีดีพีไตรมาสแรกของปี 2567 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.5 เท่านั้น
ขณะที่การขยายตัวในภาคการเกษตรและหมวดอุตสาหกรรมลดลง รวมทั้งการส่งออกสินค้าและบริการ และการบริโภคอุปโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนก็ชะลอลงด้วย
เมื่อดูตัวเลขการลงทุนรวม ปรากฏว่าลดลงร้อยละ 4.2 โดยการลงทุนภาครัฐลดลงร้อยละ 27.7 ประกอบด้วยการลงทุนรัฐบาลลดลงร้อยละ 46.0 การลงทุนของรัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 2.8 ซึ่งสวนทางกับการลงทุนของภาคเอกชนที่ดีกว่าการลงทุนภาครัฐ โดยขยายตัวร้อยละ 4.6 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2566 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.0 ก็ยังถือว่าชะลอลง
ต้องดูน้ำยา“เศรษฐา ทวีสิน” ว่าการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่ไตรมาสแรกติดลบร้อยละ 1.0 ซึ่งรัฐบาลจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดการขยายตัว
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกสามเรื่องใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้าสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ที่มีนายกรัฐมนตรีซึ่งทำอะไรไม่เป็น นอกจากการสร้างภาพ และเดินสาย“เวิลด์ทัวร์”ต่างประเทศแบบบินเพ่นพ่านไปทั่วเหมือน“แมลงวัน” ว่าจะรับมืออย่างไร ตามที่สภาพัฒน์ระบุไว้มี 3 เรื่องหลัก
นั่นก็คือ 1.ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงและการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย ที่ส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้น 2.ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และ 3.ความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการค้าโลก ที่อาจเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการปรับทิศทางนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
ดูแล้วก็ได้แต่ร้องเฮ้อแล้วถอนหายใจ อย่างข้อแรกภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงและการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ยถามว่ามือใหม่หัดขับอย่าง“เศรษฐา ทวีสิน”จะทำอย่างไร เพราะผู้รู้เขาบอกว่า เฉพาะหนี้สินที่ว่านี้ นอกจากหนี้สาธารณะ-หนี้ครัวเรือน ก็ยังมีหนี้นอกระบบ-หนี้สหกรณ์ ซึ่งถ้าหากนำยอดหนี้ทั้งหมดที่ว่านี้มารวมกัน ตัวเลขยังสูงกว่างบประมาณแผ่นดินปี 2568 ที่มีวงเงินทั้งหมด 3.6 ล้านล้านบาทเสียด้วยซ้ำไป
เซลส์แมนเบอร์หนึ่งของประเทศที่ชื่อ“เศรษฐา ทวีสิน”มีแต่ถลุงเงินของประเทศ ขนาดแบกผ้าขาวม้าไปเซลส์ขายในต่างประเทศเหมือนแขกขายผ้า ก็ยังไม่เห็นมีใครซื้อ มิหนำซ้ำยังเท่ากับเอา“มะพร้าวห้าวไปขายสวน”อีก เรียกว่าขี้เท่อแต่อวดรู้ เช่นที่อิตาลีนั้น ประเทศนี้เขาทำมาค้าขายเรื่องผ้าและแฟชั่นมานาน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผ้าไทยหรือผ้าขาวม้าไทยทำอะไรได้บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นประเทศผู้นำด้านแฟชั่นเครื่องแต่งกายได้อย่างไร
มีผู้สังเกตการณ์บางคนมองว่า รัฐบาลชุดนี้ซึ่งมี“เศรษฐา ทวีสิน”เป็นนายกฯ และมี“นักโทษเทวดา”คอยชักใย ตั้งใจจะทำให้บ้านเมืองวิบัติฉิบหายแบบ“เซตซีโร่”กันไปเลย แล้วมาเริ่มต้นนับหนึ่งจากศูนย์กันใหม่ ซึ่งเวลา 9 เดือนที่ผ่านมาจึงไม่มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราว มีแต่แย่ลง มิหนำซ้ำยังคอยจ้องแต่จะล้างผลาญเงินแผ่นดิน
ขนาดเงินไม่มีก็ยังคิดจะปล้นเงิน ธ.ก.ส.และเบียดบังงบประมาณแผ่นดินมาแจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท” สุดท้ายประชาชนก็ต้องแบกรับภาระหนี้สินจากเงิน 5 แสนล้านบาทที่จะต้องนำมาใช้สำหรับโครงการนี้
ทุกวันนี้ประชาชนทั่วไปแย่ แต่บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับหัวแถวกลับมีกำไรกันเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เช่นบริษัท“แสนสิริ”ที่นายเศรษฐา ทวีสิน โอนหุ้นให้ลูกสาว และเป็นบริษัทที่ครองลำดับหนึ่งในเวลานี้
ปรากฏว่าเพียงแค่ไตรมาสแรกของปี 2567 จากตัวเลขล่าสุดที่เพิ่งมีการเปิดเผยเมื่อไม่กี่วันมานี้ เรียกว่า“เซ็งลี้ฮ้อ” ทำรายได้รวม 10,170 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท ถือว่ามีรายได้ประกอบการสูงเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ
นั่นเป็นเพียงแค่ไตรมาสแรก ซึ่งเชื่อกันว่าอีกสามไตรมาสนับจากนี้ “บริษัทแสนสิริ”ยังจะฟันกำไรรับเละ เพราะมีปัจจัยหนุนมาจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล“เศรษฐา ทวีสิน” ที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 ถือว่าเป็นสัญญาณบวกที่ดี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัย จากเดิมจำกัดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ขยายเป็นไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อยูนิต เท่ากับเข้าทางบริษัทแสนสิริแบบเต็มๆ
คนเขากำลังลุ้นอยู่ว่า เมื่อไหร่“เศรษฐา ทวีสิน”จะไปให้พ้นเสียที ส่วนที่มีข่าวว่านายพิชิต ชื่นบาน ทนายถุงขนม จะชิงยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย เพื่อปกป้องไม่ให้เศรษฐาต้องติดร่างแห โดยจะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามไปด้วยเมื่อถึงวันที่ศาลฯวินิจฉัยนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่มีผล
เพราะผลของการกระทำได้เสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันที่นายพิชิต ชื่นบาน เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน-โดยที่“เศรษฐา ทวิสิน”เป็นผู้เสนอชื่อแต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล“เศรษฐา 1/1” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี