เรื่อง 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีอะไรเลยนั้น ย้อนกลับไปดูผลการเลือก สส.เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมปีที่แล้ว ก็จะพบว่ามีคนไทยถึง 25 ล้านคนเชื่อตามนั้น
มีคนไทยเพียง 4.7 ล้านคนเท่านั้น ที่เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีผลงาน และต้องการให้อยู่ต่อ จึงเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อจะได้ขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ที่ทำค้างเอาไว้ ตามสโลแกนที่ว่า “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ”
เมื่อคนไทย 25 ล้านคนเลือกพรรคก้าวไกลและพรรคไทยรักไทยเข้ามา แม้จะได้รัฐบาลผิดฝาผิดตัว แทนที่จะเป็นพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล และหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี ก็กลายมาเป็นพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม ร่วมกับพรรคเมืองที่ถูกโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นฝ่ายเผด็จการ มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี
คนไทยจำนวนหนึ่ง อย่างน้อย 4.7 ล้านคนเห็นว่า“ประชาธิปไตยกินไม่ได้” แต่คน 25 ล้านคนเห็นว่ากินได้ เป็นอุดมคติอุดมการณ์ของผู้เจริญแล้ว จึงทำให้ทุกวันนี้เราได้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ“เศรษฐา ทวีสิน” และถูกชักใยโดย“ทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งเป็นนักโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินมืองเจ้าของฉายา“นักโทษเทวดา”
คนไทย 4.7 ล้านคนเชื่อว่า ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาล ก็จะไม่ต้องมาเสียเวลาตั้งลำหรือตั้งการ์ดมวย เช่นที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลมา 9 เดือน จนถึงขณะนี้ก็ยังเหมือนนักมวยที่กำลังไหว้ครูอยู่บนเวที ไม่เพียงแต่ปัญหาเศรษฐกิจที่นับวันมีแต่จะเลวร้ายลงเท่านั้น ด้านการเมืองก็ไม่มีเสถียรภาพ ตัวนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“เศรษฐา ทวีสิน”จะพลัดตกจากเก้าอี้วันใดวันหนึ่งก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เนื่องจากเป็นเพียงแค่“หุ่นเชิด”
จะเห็นได้ว่า 9 เดือนของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี“เศรษฐา ทวีสิน”เป็นนายกรัฐมนตรี ใม่เพียงแต่เศรษฐกิจถดถอยนับวันมีแต่จะเลวร้ายลงเท่านั้น การเมืองภายในรัฐบาลก็ไม่เสถียร ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับเก้าอี้รัฐมนตรีในโควตาของพรรคเพื่อไทย ที่อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่“เจ้าของคอก” ไม่ใช่นายเศรษฐาที่เป็นนายกรัฐมนตรี
หลังจากปรับคณะรัฐมนตรีเป็น“รัฐบาลเศรษฐา 1/1” มีรัฐมนตรี 2 คนยื่นใบลาออกจากรัฐบาลทันที เพราะเห็นความไม่ถูกต้องชอบธรรมในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้
เมื่อ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้มีการแต่งตั้งนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่รับใช้ใกล้ชิด“ตระกูลชินวัตร”เข้าไปแทนที่ ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่ว่างจากการลาออกของนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ยังไม่ได้มีการแต่งตั้งใครเข้าไปแทน เนื่องจากเป็นโควต้าของพรรครวมไทยสร้างชาติ
และยังไม่ทันอะไร เวลานี้ก็มีปัญหาเรื่อง“ทนายถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน” ซึ่งเป็นสายตรงของ“เจ้าของคอกพรรคเพื่อไทย” ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อันอาจจะส่งผลกระทบไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน และก็มีโอกาสสูงที่จะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีฐาน”ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง” กรณีตั้งนายพิชิตที่เคยถูกจำคุกเป็นเวลา 6 เดือนมาแล้วเป็นรัฐมนตรี
ถ้าเศรษฐา ทวีสิน หลุดจากเก้าอี้นายกฯ ก็อาจจะถึงคิว“คุณหนูอุ๊งอิ๊ง”ทันที เพราะพ่อก็กำลังจะเป็นอิสระพ้นโทษในเดือนสิงหาคมนี้ ขณะที่วุฒิสภาชุดใหม่ แค่เพิ่งเปิดรับสมัคร สว.ที่จะมาจากการเลือกตั้งกันเอง ก็มองข้ามช๊อตไปถึงเก้าอี้ประธาน สว.ที่จะยกให้น้องเขยชื่อ“สมชาย วงศ์สวัสดิ์” สามีเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่เพิ่งจะยื่นใบสมัคร สว.ในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ในวันแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคมนี้เอง
ส่วนเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็มีกระแสข่าวออกมาว่า จะมีการริบเก้าอี้คืนจากนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ไปให้”ชลน่าน ศรีแก้ว”ผู้ยอมตายถวายหัวให้แก่นายใหญ่ และเพิ่งโดนถอดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งที่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีก้นยังไม่ทันร้อน
สุดท้าย เวลานี้เศรษฐกิจของประเทศก็เป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยพูดเช้าพูดเย็น ว่าอยู่ใน“ขั้นวิกฤต” จากการที่ไม่ทำอะไรเลยตลอด 9 เดือน เพราะต้องการจะถลุงเงิน 5 แสนล้านบาทมาแจกในโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท” โดยปล่อยให้ทุกอย่างสุกงอม มีแต่ภาพนายกรัฐมนตรีลอยไปลอยมา หรืออย่างรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์-ภูมิธรรม เวชยชัย ก็กินข้าวเน่าโชว์เพื่อจะฟอกขาวให้“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และมีหน้าที่คอยแก้ต่างให้แก่รัฐบาลและ“นายใหญ่”เป็นงานหลักเท่านั้น
และล่าสุดพอสิ้นกระแสเสียงของสภาพัฒน์ ที่ออกมาแถลงว่าไตรมาสแรกปี 2567 ภาวะเศรษฐกิจขยายตัวเพียงแค่ 1.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และต่ำกว่าทุกประเทศในอาเซียน ฉับพลันนั้น“ขุนคลังคนใหม่” ซึ่งเป็นสายตรงของบ้านจันทรส่องหล้า คือนายพิชัย ชุณหวชิร ก็ได้ชงเรื่องให้ ครม.เห็นชอบ และก็ผ่านความเห็นชอบออกมาแล้วจากการประชุมที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรักษาราชการแทนนายกฯ นั่งหัวโต๊ะเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายกลางปี 2567
การจัดทำงบฯกลางปีที่ว่านี้ จะมีการโยกเงินจากกระทรวงทบวงกรมต่างๆ มาผสมกับงบกลางที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจอนุมัติสั่งจ่าย เพื่อใช้สำหรับแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท อย่างน้อยตัวเลขกลมๆ ที่สามารถรวมรวมได้ตามที่นายพิชัย ชุณหวชิร เปิดเผยก็อยู่ที่ประมาณ 1.75 แสนล้านบาท
โดยนายพิชัย ชุณหวชิร กล่าวว่า “การทำเรื่องนี้ เชื่อว่าจะเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ หลังจากได้รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2567 ขยายตัวอยู่ที่ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโตต่ำกว่าที่คิดไว้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรัฐบาลก็ยังต้องหาทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาวควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่าง ๆ ของเศรษฐกิจ”
ทั้งนี้ แผนเดิมของรัฐบาลที่จะให้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาทเพื่อใช้สำหรับโครงการ“ดิจิทัล ลอลเล็ต”นั้น ประกอบด้วย เงินจาก ธ.ก.ส. 1.72 แสนล้านบาท เงินจากงบประมาณรายจ่ายปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท และจากงบประมาณปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท
เมื่อได้เงินจากงบประมาณปี 2567 ก็ถือว่าลุล่วงไปได้ระดับหนึ่ง และเงินจากงบประมาณปี 2568 ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะรัฐบาลเป็นคนจัดทำเอง แต่ที่จะมีปัญหาคือเงินจาก ธ.ก.ส. จำนวน 1.72 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลจะเล่นแร่ปราธาตุอย่างไร แต่ก็เหมือนอย่างที่คนพูดเปรียบเปรยว่า ขึ้นชื่อว่า“โจร”แล้ว เมื่อคิดจะปล้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องปล้นเอาจนได้
เป็นอันว่าเรียบร้อย“ทักษิณ ชินวัตร” หนีโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองไปกว่า 15 ปี กลับมาคราวนี้ ถือว่ากลับมา“กินรวบ”อีกครั้งก่อนตาย เป็นการฟื้นคือ“ระบอบทักษิณ” จากปี 2549 ถึงปี 2567
เรียกว่า“ตระกูลชินวัตร”ยึดประเทศไทยได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี