หยุดแกล้งโง่ ทำเป็นไร้เดียงสา แสร้งไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร ถึงโดนยุบพรรค
หยุดปลุกปั่นสังคมด้วยความโกรธแค้นเกลียดชัง ตอกลิ่มความขัดแย้งแตกแยก เอาลัทธิส้มไปป่วนสนามการเมืองท้องถิ่น
เพราะการเมืองท้องถิ่น ควรมีไว้แก้ปัญหาใกล้ตัวชุมชนชาวบ้าน ไม่ใช่บ้าคลั่งอุดมการณ์สุดโต่ง แยกดิน-แยกฟ้า ถ้าไปหลงกลบ้าตามลัทธิส้มอีก คราวนี้ชะตากรรม
ลูกหลานชาวบ้านก็จะไม่ต่างกับเพนกวิน ตะวัน ฯลฯ หลายคนติดคุกติดตะราง บางคนหลบหนีคดี เพราะไปหลงเชื่อไอ้ลัทธิคลั่งส้ม โดยที่นักการเมืองมันไม่รับผิดชอบอะไรเลย
1.เมื่อวานนี้ มีรายงานข่าวว่า สส.อดีตพรรคก้าวไกล ได้สมัครสมาชิกพรรคใหม่เรียบร้อยแล้ว ครบทั้ง 143 คน
วันนี้ จะมีการแถลงเปิดตัวพรรคใหม่ และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่อย่างเป็นทางการ
ถ้าเป็นเช่นนั้น จริง ก็ยินดีด้วย
นี่ตอกย้ำว่า การยุบพรรคก้าวไกล ไม่ได้เสียงประชาชน 14 ล้านเสียง เหมือนที่อดีตแกนนำก้าวไกลพยายามจะโพนทะนาเลย
เพราะไม่มีใครไปบังคับให้ย้ายขั้ว เปลี่ยนข้างอะไรเลย
ที่ต้องยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลเดิม ก็เพราะเป็นบทลงโทษตามกฎหมาย ฐานที่ปล่อยให้ สส.พรรคเคลื่อนไหวการเมืองล้มล้างการปกครอง อันเป็นความผิดร้ายแรง
ถ้าพรรคใหม่ ไม่ไปทำผิดกฎหมายแบบเดิม ใครก็เอาผิดไม่ได้
แต่ถ้ายังฝืนจะทำผิดซ้ำซาก เหมือนเด็กดิ้นจะเอาของเล่น ลงไปชักดิ้นชักงอ ทำลายข้าวของ แบบนั้น คงถูกลงโทษตามกฎหมายแบบเดิมอีก จะไปโทษใครอื่น หาได้ไม่
2.การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลช่วงที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคการเมืองนั้น 10 ปี พร้อมห้ามกรรมการบริหารพรรคชุดดังกล่าว ไปจดทะเบียนหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกเป็นระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งยุบพรรค
ก็จะมีเพียงบุคคลกลุ่มนี้ ที่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำผิดของพรรคการเมือง
เหมือนโชเฟอร์รถเมล์ตีนผีนรก ฝ่าฝืนกฎหมาย โชเฟอร์ก็ต้องรับผิดชอบผู้โดยสารทั้งคัน ก็ขึ้นรถคันอื่นต่อไป
บุคคลที่อยู่ในข่ายถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ได้แก่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์เหรัญญิกพรรค นายณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล นายทะเบียนสมาชิกพรรค นายปดิพัทธ์ สันติภาดา (ลาออก) กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคเหนือ นายสมชาย ฝั่งชลจิตร กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคใต้ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคกลาง นายอภิชาต ศิริสุนทร กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคตะวันออกนายสุเทพ อู่อ้น กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนปีกแรงงาน นายอภิชาติ ศิริสุนทร เลขาธิการพรรค นายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคเหนือ
ในจำนวนนี้ ถ้าใครเป็น สส. ปัจจุบัน ก็ต้องพ้นจากเป็น สส. ไปด้วย ตามรัฐธรรมนูญ
3.ที่ต้องลุ้นต่อ คือ สส.ก้าวไกลเดิม 44 คน ที่ลงชื่อเสนอแก้ไข ม.112 ยื่นต่อประธานสภาสมัยที่แล้ว
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ส่งหนังสือ ด่วนที่สุดทางไปรษณีย์ EMS จี้ให้ ป.ป.ช. รีบดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ด้วยการขอคัดสำเนาคำวินิจฉัยและสรรพเอกสารในสำนวนคดีทั้งสองจากศาลรัฐธรรมนูญ มาถือเป็นพยานหลักฐานในสำนวนไต่สวนของ ป.ป.ช. ตามนัยมาตรา 235 วรรคหนึ่ง ประกอบนัยมาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) และรีบส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) ต่อไปว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือไม่?
นายเรืองไกร กล่าวว่า ในหนังสือที่ส่ง ป.ป.ช. มีข้อเท็จจริงที่ยุติกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
“ตามที่ ข้าพเจ้า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่อยู่ข้างต้น ได้ส่งหนังสือตามที่อ้างถึง 1. และ 2. ถึง ป.ป.ช. เพื่อให้นำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 มาตรวจสอบว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน เข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ ดังความควรแจ้งแล้วนั้น
ตามข่าวศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลโดยใช้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มาเป็นสาระสำคัญด้วย ซึ่งได้วินิจฉัยไว้ส่วนหนึ่งว่า “พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่เสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ...” ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 1 ในคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ดังกล่าวคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย
แต่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 133 วรรคหนึ่ง (2) บัญญัติว่า การเสนอร่างพระราชบัญญัติจะต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมกันเข้าชื่อไม่น้อยกว่ายี่สิบคน ดังนั้น การร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ดังกล่าว จึงมิใช่การกระทำโดยลำพังเฉพาะตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละคนแต่อย่างใด การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 44 คน ที่ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว กรณี จึงควรต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรฐานทางจริยธรรมในคราวเดียวกันไปพร้อมๆ กัน
ดังนั้น การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ... ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันองค์กรอิสระด้วย ตามนัยมาตรา 211 วรรคสี่
กรณีการร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ... นั้น จึงเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง
ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคสาม ยังระบุไว้ส่วนหนึ่งว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง”
และ ป.ป.ช. ต้องทราบดีว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวผูกพัน ป.ป.ช. และใช้ได้ในคดีทั้งปวงที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของ ป.ป.ช. ด้วย
กรณีจึงมีเหตุอันควรขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจด้วยการรีบส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) ต่อไปว่า กรณีข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 วันที่ 31 มกราคม 2567 และในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 จะเป็นเหตุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน เข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่
เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 บัญญัติว่า การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวน... และมาตรา 76 บัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลให้มีผลในวันอ่าน
ดังนั้น โดยผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 และตามคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ซึ่งใช้ระบบไต่สวนและมีผลในวันอ่าน
ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้ว ย่อมเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพัน ป.ป.ช. ทำให้ ป.ป.ช.หาจำต้องไต่สวนข้อเท็จจริงใหม่แต่อย่างใด”
4.ป.ป.ช.ชี้ ผลการตรวจสอบมีมูลเบื้องต้น มีมติสั่งไต่สวนทั้ง 44 สส.
ล่าสุด นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบจริยธรรม 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ที่เข้าชื่อเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ระบุว่า ขณะนี้ ได้นำเสนอคณะกรรมการป.ป.ช.แล้ว และมีมติการตรวจสอบมีมูลเบื้องต้น มีพยานหลักฐานตามแนวความคิดเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ
คณะกรรมการป.ป.ช.ก็มีมติสั่งไต่สวนทั้ง 44 สส.
“...ส่วนข้อเท็จจริงยังอยู่ในระหว่างการไต่สวน เรายังไม่ได้ให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการเปิดให้ผู้ต้องหาชี้แจงต่อไป” – เลขาฯ ป.ป.ช.กล่าว
เมื่อถามว่าระยะเวลาการพิจารณาจะยาวนานหรือไม่? เลขาฯป.ป.ช. กล่าวว่า คิดว่าไม่น่าจะนาน เพราะข้อเท็จจริงก็ปรากฏครบถ้วน อยู่ที่การวินิจฉัยในข้อกฎหมาย และเจตนา ส่วนกรณีคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความที่ยื่นร้องในคดีนี้ ที่มีการแนบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง จะถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญในการนำมาประกอบการพิจารณาหรือไม่นั้น อาจเป็นข้อเท็จจริง หรือเป็นพฤติกรรม อยู่ที่คณะกรรมการไต่สวนจะพิจารณา ตนไม่ก้าวล่วง
5.เมื่อวานนี้ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เข้ายื่นหนังสือถึง ผบ.ตร. เพื่อให้เร่งตรวจสอบดำเนินคดีกับ นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล พร้อมพวก เข้าข่ายการกระทำความผิดในทางอาญาด้วย
นายมงคลกิตติ์ ฝากไปถึงพรรคก้าวไกลว่า อยากจะให้พรรคก้าวไกลที่จะไปสร้างพรรคใหม่ทำนโยบาย 300 ข้อเหมือนเดิม แต่ให้ยกเว้นเรื่องมาตรา 112 และการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ต้องไปแตะต้อง ให้แตะต้องเรื่องการแก้ไขปัญหาประชาชน เหมือนพรรคการเมืองทั่วไปที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ตรงจุดนี้ก็จะทำให้กรรมการบริหารพรรครวมถึง สส.ของพรรคปลอดภัยมากขึ้น
6.ประเด็นสำคัญในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล
ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า คดีนี้กับคดีตามคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 เป็นคดีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันและมูลคดีเดียวกัน
ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไต่สวนพยานหลักฐานในมาตรฐานเดียวกัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติแล้วในคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่าพฤติการณ์ดังกล่าวของผู้ถูกร้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคสี่ บัญญัติว่า “คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ” ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมต้องผูกพันศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ด้วย
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่าพฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่ เสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันมีเนื้อหาเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งโดยการใช้ประโยชน์จากสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อหวังผลคะแนนเสียงและชนะการเลือกตั้ง เป็นการมุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน
ผู้ถูกร้อง (พรรคก้าวไกล) มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือทําให้อ่อนแอลง อันนําไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด การกระทําของผู้ถูกร้องจึงเข้าลักษณะการกระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอีกด้วย
เมื่อพรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนที่มีความสําคัญในระบอบประชาธิปไตยการยุบพรรคการเมืองต้องเคร่งครัด ระมัดระวัง ให้ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ความรุนแรงของพรรคการเมือง ผู้ถูกร้อง มีการกระทําอันฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ซึ่งเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง กฎหมายดังกล่าวใช้กับพรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าพรรคการเมืองจะได้รับการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตามแต่ ทุกพรรคการเมืองต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับเดียวกันอย่างเสมอ ภาคเท่าเทียมกัน หากมีพฤติการณ์ร้ายแรงกฎหมายจําเป็นที่จะต้องหยุดยั้งการทําลายหลักการพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามที่กฎหมายบัญญัติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แม้นักวิชาการ นักการเมือง หรือนักการทูตของต่างประเทศไม่ว่าในระดับใด ต่างก็มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายภายในประเทศ รวมทั้งข้อกําหนดของตนแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละประเทศ การแสดงความเห็นใดๆ ย่อมต้องมีมารยาทสากลทางการทูตและการต่างประเทศที่พึงปฏิบัติต่อกัน
ใครที่สงสัย หรือแกล้งสงสัย ควรติดตามอ่านคำวินิจฉัยฉบับเต็ม รวมถึงคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละท่านต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี