“มันจบแล้วครับนาย” วลีเด็ดของ“เนวิน ชิดชอบ”บ้านใหญ่แห่งบุรีรัมย์ในปี 2551 เมื่อครั้งประกาศตัดเชือกสลัดโซ่ออกจากแอกของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จากการที่พากลุ่ม สส.พรรคพลังประชาชนในมุ้งของตนจำนวนหนึ่งไปยกมือสนับสนุน“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี-คนที่ 27 ของประเทศไทย ต่อจาก“สมชาย วงศ์สวัสดิ์”นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดของทักษิณที่ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบพรรค
การที่“เนวิน ชิดชอบ” ตีจาก“ทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งขณะนั้นเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ที่ดูไบ โดยได้นำกลุ่ม สส. 32 คนในนาม“กลุ่มเพื่อนเนวิน”ก่อนจะมาก่อตั้งเป็นพรรคภูมิใจในภายหลัง มายกมือสนับสนับสนุน“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จึงทำให้“อภิสิทธิ์”เอาชนะ พล.ต.อ.ประชา พรมหมนอก คู่แข่งจากพรรคเพื่อแผ่นดินซึ่งเป็น“นิมินี”ของ“ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ด้วยคะแนนเสียง 235 : 198 เสียง จากจำนวน สส.ทั้งหมด 438 คน โดยงดออกเสียง 2 คน และไม่เข้าร่วมประชุม 3 คน
นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เป็น“16 ปีแห่งความหลัง”ที่พูดถึงแล้วทำให้นึกถึงเพลงของ“สุรพล สมบัติเจริญ”ราชาเพลงลูกทุ่งของไทยในตำนาน คือในชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นมี“ทั้งรักทั้งชังทั้งหวานและขมขื่น”
เมื่อลุถึง พ.ศ.นี้ หาก“ทักษิณ ชินวัตร”ได้ยินได้ฟังเพลงของสุรพล สมบัติเจริญ ก็อาจะถึงกับน้ำตาตกใน และคงต้องหันไปบอกกับ“คุณหนูอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร”กล่องในดวงใจซึ่งเป็นบุตรสาวที่สืบสายเลือดและดีเอ็นเอว่า “มันจบแล้วลูก” เนื่องจากยังไม่ทันที่คณะรัฐมนตรี“แพทองธาร 1” ของรัฐบาล“พ่อครอบครอง”จะคลอด ก็สามารถพูดได้ตั้งแต่บัดนี้ว่า หากคลอดวันไหนก็นับถอยหลังรอวันอวสานตั้งแต่วันนั้นได้เลย
เพราะทั้งตัวบิดาคือ“ทักษิณ ชินวัตร” และ“แพทองธาร ชินวัตร”บุตรสาวผู้เป็นตัวตายตัวแทน ในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทย และของตระกูลชินวัตร ที่“มีวันนี้เพราะพ่อให้” อาจจะต้องปิดฉากรูดม่านทางการเมืองด้วยการกระทำที่ผิดต่อรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
“แพทองธาร ชินวัตร” อาจจะจบเพราะขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 อันเป็นเส้นทางเดียวกับที่“เศรษฐา ทวีสิน”ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ “เนื่องจากไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 160 (4) และ“มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”ตามมาตรา 160 (5) อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญทั้งสองมาตรานี้
นอกจากต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ประวัติอันเป็น“มลทิน”เพราะไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ก็จะทำให้ชีวิตมัวหมองและไม่สะอาดบริสุทธิ์ไปจนชั่วชีวิต เช่นเดียวกับ“เศรษฐา ทวีสิน”พ่อค้าด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ผันตัวมาเล่นการเมือง และทำให้ชีวิตต้องมีมลทินกับคำว่า“ไม่ซื่อสัตย์สุจริต”เป็นตราบาปติดตัวไปจนตาย
ข้อหาของ“แพรทองธาร ชินวัตร”นอกจากเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญที่ว่านั้นแล้ว ที่ดูแล้วน่าจะรอดยาก เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่มีผลทำให้“เศรษฐา ทวีสิน”พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ได้กลายเป็นบรรทัดฐานไปเสียแล้ว ฉะนั้น ทั้งเรื่อง“ที่ดินธรณีสงฆ์” และ “เรื่องข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว” จึงกลายเป็นบ่วงมัดคอของแพทองธารไปโดยปริยาย และอีกเรื่องหนึ่งกรณีการโอนหุ้น 21 บริษัทที่เป็น“กงสี”ของตระกูลชินวัตร ก็อาจจะถูกจับได้ว่า มีการกระทำย้อนหลังด้วยพยานหลักฐานแวดล้อมต่างๆ เหมือนกับที่“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”เคยโดนมาแล้วกรณีถือหุ้นสื่อ
มิหนำซ้ำ เฉพาะเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ของ“แพทองธาร ชินวัตร” ทางพรรคพลังประชารัฐ โดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังได้ยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 362 ที่บัญญัติไว้ว่า “บุคคลออกโฆษณาให้คำมั่นว่าจะให้รางวัลแก่ผู้ซึ่งกระทำการอันใด ท่านว่าจำต้องให้รางวัลแก่บุคคลใดๆ ผู้ได้กระทำการอันนั้น แม้ถึงมิใช่ว่าผู้นั้นจะได้กระทำเพราะเห็นแก่รางวัล” มาประกอบจากการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมวานนี้ว่า นางสาวแพทองธารไม่ได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งเป็นมือกฎหมายของพรรคพลังประชารัฐที่สำคัญคนหนึ่ง กล่าวว่า “นายกฯได้มีสัญญาประชาคม เสมือนหนึ่งเป็นคำมั่นกับพรรคพลังประชารัฐ แสดงออกต่อสาธารณะอย่างครบถ้วนแล้ว พรรคพลังประชารัฐได้เห็นชอบให้นางสาวแพทองธารเป็นนายกฯ และนางสาวแพทองธารได้ให้คำมั่นว่า จะให้พรรคพลังประชารัฐมีที่นั่งในคณะรัฐมนตรีตามสัดส่วนเดิมและตำแหน่งเดิม” พรรคพลังประชารัฐได้ทำครบแล้วตามคำมั่นที่นายกฯให้ไว้ เราก็ตอบสนองไปโหวตให้เรียบร้อย จึงเป็นเรื่องที่นายกฯต้องดำเนินการตามคำมั่นที่ให้ไว้”
เรื่องนี้ก็คงเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่พรรคพลังประชารัฐ จะต้องตามคิดบัญชีกับ“แพทองธาร ชินวัตร” ทันทีที่คณะรัฐมนตรี“แพทองธาร 1”คลอดออกมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาของ“แพทองธาร ชินวัตร”นั้น ด้วยความที่เป็น“คนคด”ไม่เคยมีความจริงใจกับใคร พร้อมจะหักหลังคนทุกคนได้ตลอดเวลา ถ้าหากใครขัดผลประโยชน์หรือตนเองได้ประโยชน์น้อยกว่า ประกอบกับการที่มีความเหี้ยมอำมหิตอันเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นที่เป็นไฟสุมอยู่ในตัว จึงทำให้“มิตร”ต้องกลับกลายเป็น“ศัตรู”
“ทักษิณ ชินวัตร” คิดผิดที่ไปทำร้ายทำลายพรรคประชาธิปัตย์ จนทำให้พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคนี้เกิดความแตกแยกภายใน และทักษิณก็คิดผิดซ้ำสองที่ตัดเชือกขาดสะบั้นกับ“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยการเขี่ยพรรคพลังประชารัฐออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และหันไปถือหาง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพรรคพลังประชารัฐให้ล่มสลายให้ได้ในที่สุด
แต่ผิดซ้ำสามของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่ไม่เห็นหัว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย จนทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ต้องถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมวานนี้ ก็ได้ออกมาแถลงพร้อมกับแฉว่า ได้เคยไปพบกับอดีตนักโทษเด็ดชายทักษิณ ชินวัตร 2 ครั้ง ระหว่างเป็นนักโทษเทวดาและ“ป่วยทิพย์”อยู่บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นี้จึงเท่ากับเป็นการเปิดโปงว่าทักษิณมิได้ป่วยจริง และเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ทักษิณที่จะอาจจะต้องเข้าข่ายมีความผิดเท่านั้น ข้าราชการประจำในกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจก็คงจะต้องติดคุกเพราะทุจริตต่อหน้าที่จากการรับใช้ทักษิณไปตามๆ กันอีกด้วย
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ เรื่องที่“ทักษิณ ชินวัตร” และ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ขอร้องให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ถอนฟ้องนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ปมเสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร. ซึ่งปรากฏว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เก็บพยานหลักฐานไว้หมด ว่าเส้นทางการเข้าพบทักษิณและการติดต่อทั้งกับทักษิณและยิ่งลักษณ์ จากข้อความที่พูดกันในไลน์มีเนื้อหาเป็นอย่างไร โดยได้นำมาเปิดเผยจากการแถลงข่าวเมื่อวานนี้
และอีกหนึ่งวาทะเด็ดของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส "คุณเศรษฐาไปตั้งนักโทษเป็นรัฐมนตรี แต่ปัจจุบันนักโทษมันตั้งนายกรัฐมนตรีเสียเอง แล้วผมจะอยู่ร่วมได้ยังไง คุณอุ๊งอิ๊ง-แพทองธารจะไปบริหารตรงนี้ ไม่มีหรอก เป็นการบริหารโดยพ่อทั้งนั้น"
บรรทัดนี้คงพูดได้คำเดียวว่า“มันจบแล้วครับ-ทักษิณ ชินวัตร” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี