นายกฯ แพทองธาร ดูจะมีเรื่องร้องให้ตรวจสอบรออยู่แล้ว ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มบริหารราชการแผ่นดิน
แต่ใคร คือ ศัตรูแท้จริงของรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ ที่จะทำให้รัฐบาลถึงขั้นมีอันวิบัติไปได้จริงๆ ?
1. ถ้ากล่าวถึงตัวบุคคล ที่แสดงออกชัดเจนว่า จะเดินหน้าตรวจสอบ เล่นงานรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ในขณะนี้
ยกตัวอย่าง
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เจ้าของฉายา นักร้อง EMS ล่าสุด ร้องแม้กระทั่งการถ่ายรูปโพสท่ามุ้งมิ้ง มินิฮาร์ท ขณะสวมเครื่องแบบชุดปกติขาว
นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ลูกน้องเก่าอดีตนายกฯทักษิณ จัดรายการ ถล่มรัฐบาลรายวัน
กลุ่ม คปท. เริ่มกลับมาชุมนุมอีกครั้ง ประกาศ หยุดระบอบชินวัตร
คณะบุคคลนิรนาม ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ “นายกฯอุ๊งอิ๊งค์” และ “ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สิ้นสุดลงหรือไม่ จากการช่วยเหลือ “นายใหญ่” ให้ได้รับสิทธิพิเศษพักรักษาตัวบนชั้น 14
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และคณะจะขับเคลื่อนพรรคในบทบาทฝ่ายค้าน เข้มข้น มีอิทธิฤทธิ์แค่ไหน หรือหมดน้ำยาไปแล้ว?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ล่าสุดจะไปร้อง กกต.ให้ตรวจสอบประเด็นทักษิณครอบงำพรรคเพื่อไทยด้วย
ส่วนพรรคส้ม หรือพรรคประชาชน ไม่ได้จริงจังกับการตรวจสอบเล่นงานนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเลย เพราะยังหวังผลประโยชน์ทางการเมืองในบางประเด็นอยู่ ยังเล่นบทพรรครอเสียบ มากกว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่
ฯลฯ
2. จะเห็นว่า รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ มีคนจองกฐินไม่น้อยเลย
ยังไม่นับแนวร่วม เครือข่ายที่สนับสนุนลุงตู่อีกจำนวนมาก ที่สงบอยู่ในที่ตั้ง เพราะสถานะความเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้ว
ยังให้โอกาสรัฐบาลทำงาน
แต่หลังจากนี้ ถ้ารัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ หรือตัวนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ บริหารราชการแผ่นดินแบบเรียกแขก ก็น่าจะเพิ่มแนวร่วมที่จะลุกฮือต่อต้าน หรือขับไล่รัฐบาลขยายเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
3. เชื้อปะทุที่ไวไฟที่สุด น่าจะเป็น “ผู้ครอบครอง” ตัวนายกฯอุ๊งอิ๊งค์เอง คือ นายทักษิณ ชินวัตร และผลประโยชน์ของญาติกา
หากนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ และรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ กระทำการอันใด เอื้อประโยชน์แก่ญาติกา หรือตัวนายทักษิณ ชินวัตร โดยไม่สนใจใยดีความรู้สึกของคนในสังคม
นั่นจะเป็นการราดน้ำมันลงไปในกองไฟ
จะเป็นตัวบั่นทอนอายุของรัฐบาล โดยที่เสียงในสภาก็ช่วยอะไรไม่ได้
เพราะคราวนี้ นายกฯ คือ ตัวลูกสาวของนายทักษิณเอง
เป็นผู้สืบสันดานโดยตรง
อย่าลืมว่า ปัจจุบัน มีผลการตรวจสอบของ กสม. สรุปรายงานส่ง ป.ป.ช.เป็นพื้นฐานแล้วว่า มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ได้รับสิทธิความช่วยเหลือดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น โดยผลการตรวจสอบชี้ว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
และเห็นว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องได้กระทำการอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคล อันอาจเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
รายงานผลการตรวจสอบของ กสม.ตอนหนึ่งระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตรเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ด้วยอาการวิกฤตในช่วงแรก (จากการชี้แจงของแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์) แต่หลังจากนั้นปรากฏว่า นายทักษิณ ชินวัตร ยังพักที่ห้องพิเศษของชั้น 14 มาโดยตลอดซึ่งหากนายทักษิณ ชินวัตร ป่วยจนอยู่ในระดับวิกฤตตามที่มีการชี้แจงจริง ก็ควรต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและพักในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน แต่นายทักษิณ ชินวัตร กลับพักในห้องพิเศษซึ่งตามปกติควรมีไว้สำหรับผู้ป่วยที่พ้นจากภาวะวิกฤตและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว การที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ กำหนดให้นายทักษิณ ชินวัตร พักรักษาตัวที่ห้องพิเศษของโรงพยาบาลตำรวจอย่างต่อเนื่อง โดยเรือนจำฯไม่ได้โต้แย้งจนกระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร ออกจากโรงพยาบาล เป็นการดำเนินการทำให้นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับประโยชน์นอกเหนือกว่าสิทธิที่ควรได้รับ ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคและเป็นการเลือกปฏิบัติ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็นวันที่นายทักษิณ ชินวัตร สามารถออกจากการควบคุมของเรือนจำ นายทักษิณ ชินวัตรสามารถเดินทางกลับบ้านพักส่วนตัวได้ทันทีโดยไม่พบว่าต้องเข้าไปรับการรักษาในสถานพยาบาลแห่งอื่นอีก รวมทั้งสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ และปฏิบัติภารกิจได้โดยไม่ปรากฏว่ามีอาการเจ็บป่วยรุนแรง อันผิดปกติวิสัยของผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตจนถึงขั้นอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง ซึ่งใช้เป็นเหตุผลในการพักรักษาตัวกับโรงพยาบาลตำรวจมาโดยตลอด
การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ เป็นการเลือกปฏิบัติแก่ผู้ต้องขังด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม อันถือเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรารายงานว่า มีผู้ใช้ฐานข้อเท็จจริงจากรายงาน กสม. ร้องต่อ กกต. โดยชี้ว่า
“ผลการตรวจสอบของ กสม.ในเรื่องนี้ เป็นการชี้มูลให้เห็นว่ามีการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และยังเห็นว่ามีการกระทำผิดอาญาของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคล อันอาจเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
การละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หมวด 3 เรื่องสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย โดยมาตรา 27 บัญญัติว่าการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องใดๆจะกระทำมิได้ และทำให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหมวด 1 บททั่วไป อันเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของรัฐธรรมนูญ โดยมาตรา 3 บัญญัติว่า รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม โดยการกระทำที่ไม่เป็นไปตามมาตรา 3 ซึ่งขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้การกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5
ดังนั้น นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดแต่นายทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกนำตัวไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจตลอดระยะเวลาสุทธิที่ต้องรับโทษจำคุก การถูกควบคุมตัวโดยการพักอยู่ที่ห้องพิเศษ ชั้น 14โรงพยาบาลตำรวจ ได้มีข้อยุติตามผลการตรวจสอบของ กสม.แล้วว่า เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ที่จะกระทำไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 จึงถือเป็นการกระทำอันใช้บังคับมิได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5...”
4. ยิ่งกว่านั้น ประเด็นการจะกลับบ้านแบบไม่ต้องเข้าไปนอนเรือนจำของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงร้ายแรง
จะเห็นว่า เรื่องที่จะพารัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ไปสู่กาลวิบัติ ล้วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของญาติกา
ขณะที่รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ยังพยายามดึงดันจะแจกเงินตามโครงการเติมเงินหมื่นเข้ากระเป๋าดิจิทัล วอลเล็ตต่อไป ทั้งๆ ที่ ปัจจุบัน ยังไม่มีดิจิทัล วอลเล็ต
โดยรัฐบาลจะแจกเงินสดไปก่อน และยังยืนยันจะแจกให้ครบตามที่ลงทะเบียนต่อไป ไม่ว่าจะระบบเติมเงิน-ชำระเงินดิจิทัล วอเลเล็ต จะเสร็จหรือไม่หากไม่เสร็จก็แจกเงินสด
การทำเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการประกาศแจกเงินสดหัวละหมื่นเพื่อแลกคะแนนเสียงเลือกตั้ง
แล้วมันจะต่างอะไรกับการซื้อเสียงเลือกตั้ง?
ทางที่ควร คือ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเติมเงินแก่ผู้ถือสิทธิในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น ทำได้ มีเหตุผล
แต่ถ้าจะแจกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไปถึง 45 ล้านคน 4.5 แสนล้านบาทก็ควรจะฟังคำเตือนของผู้เกี่ยวข้อง ว่ามันจะสร้างภาระทางการคลัง และเกิดความสุ่มเสี่ยงอย่างไรบ้าง
ขณะนี้ ยังไม่สามารถหาแหล่งเงินได้ครบ 4.5 แสนล้านบาทเลยด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่า รัฐบาลยังมีภาระที่จะต้องใช้เงินอีกมากมายในการช่วยเหลือ ดูแล พัฒนาประเทศในทุกด้าน
มิใช่จะทุ่มเงินเพื่อแจก เพื่อได้ชื่อว่าทำตามที่หาเสียงไว้ (ซึ่งไม่ตรงปกตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว)
นี่จะเป็นอีกหนึ่งเรื่อง ที่สร้างปัญหา วิกฤตในการบริหาร มากกว่าจะสร้างโอกาสหรือต่ออายุรัฐบาล
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี