ความเป็นคนห่ามๆ ที่อาจเรียกว่าแหกคอกว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ทำอะไรเหนือความคาดหมายแหวกธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติต่อๆกันมา เมื่อเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีกลับมาบริหารสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ทำเอา “ดีปสเตต” พล่านทั้งวงการ
ดีปสเตต (deep state) ในภาษาไทยมีการ แปลว่า “รัฐพันลึก และ รัฐเร้นลึก”เป็นการปกครองลับรูปแบบหนึ่งซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายอำนาจที่ดำเนินการอย่างเป็นอิสระ จากคณะผู้นำทางการเมืองของประเทศ เพื่อผลักดันระเบียบวาระ หรือ เป้าหมายของตนเอง
ดีปสเตตในเมืองไทยมีความแตกต่างจาก ดีปสเตตในสหรัฐอเมริกา เพราะรัฐพันลึกของสหรัฐจัดตั้งเป็นองค์กรนอกอำนาจรัฐ เช่น สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council Of Foreign Relation) หรือ CFR ซึ่งก่อตั้งขึ้นในพ.ศ.2464 เป็นองค์กรที่พวกยิวไซออนิสต์ ก่อตั้งขึ้น เป็นขบวนการที่มีผู้ทรงอิทธิพลในแต่ละสาขาอาชีพด้านการเงิน การค้าการเมือง รวมตัวกันด้วยเป้าหมายที่ต้องการเป็น “ศูนย์กลางอำนาจบังคับบัญชาโลก”
หรือ กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy=NED) NED เป็นองค์กรกึ่งภาครัฐที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสภาคองเกรสเพื่อนำเงินนั้นไปสนับสนุนองค์กรเอกชน เช่น เอ็นจีโอที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ เพื่อแทรกแซงกิจการภายในของประเทศเป้าหมายให้ตอบสนองผลประโยชน์ของสหรัฐ
ในประเทศไทย NED ให้ทุนนักศึกษา และเอ็นจีโอต่างๆ เช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ฮิวแมนไรท์ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ตลอดถึงนักการเมืองที่เคลื่อนไหวตามนโยบายของสหรัฐ ดังที่ประจักษ์แก่สาธารณะที่เอ็นจีโอ นักศึกษาตลอดถึงนักการเมืองพวกนี้เคลื่อนไหวให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐแบบอเมริกาที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงไม่เป็นเรื่องประหลาดที่นักการเมือง เอ็นจีโอและนักศึกษาที่ได้รับทุน NED เคลื่อนไหวสอดประสานกันในความพยายามยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
CFR กับ NED เป็นดีปสเตตที่มีอิทธิพลกำหนด ชี้นำการเมืองทุกพรรคในสหรัฐอเมริกา ว่าที่ประธานาธิบดีที่ชนะเลือกตั้ง ทุกคนต้องไปแจกแจงนโยบายต่อที่ประชุม CFR ก่อนสาบานตนรับตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่เป็นทางการ ยกเว้นประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มองข้ามประเพณีปฏิบัติต่อๆ กันมา โดยไม่ไปแจกแจงนโยบายต่อที่ประชุม CFR หลังชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016
ดังนั้น เมื่อคู่ปรปักษ์ของดีปสเตตสหรัฐ เช่นรัสเซีย จีน อินเดีย เกาหลีเหนือ แสดงความยินดี และมีท่าทีเป็นมิตรต่อ ว่าที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ กระบอกเสียงของ ดีปสเตต หรือรัฐพันลึก จึงเสนอบทความต่อต้าน
สำนักข่าว CNN เสนอบทวิเคราะห์ว่า ประธานาธิบดีปูติน แสดงความยินดีกับชัยชนะของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และยกย่องทรัมป์เป็นบุรุษผู้กล้าหาญ แสดงว่าเครมลิน ถือไพ่เหนือวอชิงตัน
CNN ระบุด้วยว่า ทรัมป์พูดระหว่างหาเสียงว่า คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ คิดถึงทรัมป์ อยากพบทรัมป์อีกครั้ง ทั้งๆ ที่ทรัมป์รู้อยู่เต็มอกว่า จีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ เป็นอักษะต่อต้านอเมริกา เกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียรุกรานยูเครน ดังนั้นการที่ทรัมป์กล่าวว่าจะยุติสงครามในยูเครนก่อนเดือนมกราคม 2025 จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย CNN รายงาน
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน แสดงความยินดีที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งระหว่างที่เขาปราศรัยในที่สัมมนา นานาชาติเรื่องผลประโยชน์ร่วมกันในทะเลดำ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ในตอนหนึ่งของการปราศรัยปูติน กล่าวว่า..
“ผมขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกาสมัยที่สอง ทรัมป์เป็นผู้กล้าหาญเยี่ยงลูกผู้ชายที่แสดงความกล้าหาญยามมีภัย..” ปูตินพูดถึงปฏิกิริยาของทรัมป์ในนาทีที่มีคนพยายามลอบสังหารเขาเมื่อเดือนกรกฎาคม หลังจากเสียงปืน ทรัมป์ปั๊มมือชูกำปั้นขึ้นเหนือหัวและตะโกนว่า สู้ สู้ สู้ ซึ่งปูตินยกย่องว่า ปฏิกิริยาอย่างนั้นแสดงถึงความกล้าหาญแบบลูกผู้ชาย ปูตินกล่าวด้วยว่า “หลังชนะเลือกตั้งเหนือฮิลลารี่ คลินตันปี 2016 ทรัมป์ถูกล่าทุกทิศทางแต่เขาไม่หวั่นไหว”
ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งปี 2016 ทรัมป์ มีข้อครหาหลายอย่าง รวมทั้งการกล่าวหารัสเซีย แทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยให้ทรัมป์ชนะ ฮิลลารี่คลินตัน แต่เครมลินปฏิเสธว่าเป็นการกล่าวหาไร้สาระ
ระหว่างการปราศรัยในที่สัมมนา นานาชาติปูตินพูดถึงเรื่องที่ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะยุติสงครามยูเครนทันทีหากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ปูติน กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่ควรนำมาพิจารณายิ่ง..” ต่อคำถามที่ว่า เขาพร้อมเจรจากับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไหม ปูตินย้ำว่า “เราพร้อม เราพร้อม”
ในวันเดียวกัน ที่ประธานาธิบดีปูติน ชื่นชมทรัมป์ในเมือง Sochi ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ผู้นำประเทศยุโรปประชุมหารือกันในกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ที่ประชุมแสดงความกังวลว่าทรัมป์อาจชะลอหรือหยุดการส่งอาวุธให้ยูเครน เนื่องจากทรัมป์พูดหลายครั้งว่า สหรัฐเสียเงินกว่าเจ็ดหมื่นล้านดอลลาร์ให้ยูเครนอย่างไร้สาระ ทรัมป์พูดด้วยว่า เขาต้องการให้ยุติสงครามด้วยการเจรจา และยูเครนต้องเสียดินแดนบางส่วนเพื่อนสันติภาพ
ในที่ประชุมเมืองบูดาเปสต์ ประธานาธิบดีเซเลนสกี กล่าว “ผมรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้คุยกับทรัมป์ โดยเขารับปากว่าการเจรจาใดๆ ต้องเป็นไปในทางบวกและสร้างสรรค์ต่อปฏิสัมพันธ์วอชิงตันกับเคียฟ..”ในที่ประชุมเดียวกัน นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ ของอังกฤษให้ความมั่นใจแก่เซเลนสกีว่า อังกฤษยังคงให้การสนับสนุนยูเครนทำสงครามกับรัสเซียอย่างแข็งขัน
ส่วน วิคเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการีพันธมิตรของทรัมป์ ผู้เสนอตัวเป็นคนกลางเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน กล่าวในที่ประชุมว่า “ผมฉลองชัยชนะของทรัมป์ด้วยวอดก้า เราควรใช้ประโยชน์จากอุปทานวอดก้าอย่างมีความสุข” ออร์บาน กล่าวและเสริมว่า “ยุโรปกับอเมริกาถึงเวลาเจรจาการค้ากันอย่างจริงจัง ในประเด็นทรัมป์ตั้งเงื่อนไขขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรป 10% ประเด็นสันติภาพและความมั่นคงในอนาคตเราต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น พูดตรงๆ คือเราหวังพึ่งอเมริกาอย่างเดียวไม่ได้” ออร์บานกล่าว
จะเห็นได้ว่าการกลับมาของ ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้สร้างความกังวลทั่วโลกทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การค้าการเมือง และสงครามที่ยุโรปถูกสหรัฐชักจูงให้จมปลักสงครามยูเครน และกำลังวิตกว่ายุโรปอาจถูกทอดทิ้งให้จมปลักสงครามตามลำพัง
ด้าน โจชัวร์ เคอร์แลนสติค กระบอกเสียงคนสำคัญของ CFR เขียนบทความในเดอะ ดิโพลแมตสื่อออนไลน์ของ CFR ว่า “ถึงเวลาที่ชาติสมาชิกอาเซียนปรับตัวเข้ากับสถานการณ์” โจชัวร์ระบุในรายงานว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่เอนเอียงไปหาปักกิ่งในห้วงเวลาสี่ปีที่โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดี มีเพียงฟิลิปปินส์ประเทศเดียวที่เหนียวแน่นกับวอชิงตัน ประเทศอินโดนีเซีย กับสิงคโปร์ปรับตัวได้ง่าย
ส่วนประเทศไทย มาเลเซีย กัมพูชา พม่า สปป.ลาวชัดเจนว่าถูกจีนครอบงำทางการค้าและการเมืองตลอดเวลาของรัฐบาลไบเดน เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดี ซึ่งมีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนน้อยกว่า ประธานาธิบดีไบเดน ชาติในอาเซียนต้องปรับท่าทีใหม่ หรือต้องบังคับให้พวกเขาปรับท่าที”
ทั้งหมดที่กล่าวมาแสดงว่า ดีปสเตตในอเมริกา ยังพยายามให้รัฐบาลใหม่ของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ทำตามนิสัยถาวรของ CFR และ NED ที่แทรกแซงกิจการภายในประเทศเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐต่อไป
ในประเทศไทย เรามีปัจเจกชนและองค์กรที่เป็น“ดีปสเตต” ลดน้อยถอยลงทุกวัน ซึ่งต่างกับยุคสงครามเย็นที่เคยมีรัฐบุรุษ เอกบุรุษ อดีตนายทหาร อดีตนักการทูตเป็นดีปสเตตไทย เผชิญหน้าหรือต่อกรกับดีปสเตตอเมริกาได้
ทุกวันนี้ ดีปสเตต ในประเทศไทยหายากขึ้นทุกที ส่วนพวกนักการเมืองบ้านใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญอยู่ข้างหลังรัฐบาล พวกนั้นยังเป็นดีปสเตตของประเทศไทยไม่ได้เพราะส่วนใหญ่เป็นได้เพียงไม้หลักปักขี้เลน
ประเทศอาเซียนด้วยกัน สิงคโปร์เขามีตระกูลลีเป็นดีปสเตตให้ ฟิลิปปินส์ มีตระกูลมาร์กอส พม่ามีอดีตผู้นำกองทัพ เช่น พลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย ในกัมพูชา มีเจีย ซิม รัฐบุรุษ เหล่านี้เป็นดีปสเตต มีอิทธิพลบารมีชี้ทิศทางการเมืองของประเทศได้ ประเทศไทยในปัจจุบัน มีแต่ประชาชนเท่านั้นที่เป็นดีปสเตตได้เมื่อประเทศชาติต้องการ
ดังนั้นการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์สาบานตนรับตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่เป็นทางการ ถึงวันนั้นประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจ การค้า ปัญหาการเมืองตลอดสงครามภูมิรัฐศาสตร์รอบด้าน ซึ่งเกินความสามารถและสติปัญญาของนายกรัฐมนตรีฝึกงานไม่ผ่านโปรจะรับมือไหว
จึงเป็นภาระหน้าที่ของดีปสเตตไทยที่ต้องจัดการให้นายกฯฝึกงานพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ แล้วจัดการหานายกรัฐมนตรีใหม่ เพื่อคนไทยได้มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีจริงๆ เสียที
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี