นักการเมือง พรรคการเมือง และบรรดา สส. นั้น ไม่เคยมองตัวเอง ได้แต่โทษโน่นโทษนี้ คิดแต่ประโยชน์และอำนาจของตนเอง และทุกครั้งที่ถูกทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจ สาเหตุก็มาจากความชั่วของนักการเมืองเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้ทหารต้องเคลื่อนกำลังออกมายึดอำนาจ เพราะโกงกินกันจนปากมันพุงกาง
ถ้านักการเมือง พรรคการเมือง และ สส. โดยเฉพาะรัฐบาลไม่ประพฤติชั่วจากการทุจริตโกงกินบ้านเมือง ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ทหารออกมายึดอำนาจ ก็มีแต่ชาวบ้านจะช่วยกันไล่และสาปส่ง ไม่ใช่นำดอกไม้ไปมอบให้
นับตั้งแต่เลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นมา จนบัดนี้เข้าปีที่ 2 ถามว่า สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ สส.จากพรรคเพื่อไทย และจากพรรคประชาชน ทำอะไรให้เกิดประโยชน์แก่ชาวบ้านบ้าง นอกจากสาละวนอยู่กับความพยามยามที่จะยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นประโยชน์แก่ตน รวมทั้งการนิรโทษกรรม และการแก้ไขมาตรา 112
ภัยพิบัติจากปัญหาน้ำท่วม 2 ครั้งที่เกิดขึ้นในปีนี้ ทั้งที่ภาคเหนือและภาคใต้ เห็นแต่กำลังพลทหารจากองทัพ ครัวพระราชทาน และภาคประชาชนที่เป็นจิตอาสา เป็นกองหน้า และเป็นกำลังหลักเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยที่แทบจะไม่เห็นหัว สส.เจ้าของพื้นที่ที่ปากอ้างประชาชน
ล่าสุดเรื่องจะเข้าไปล้วงลูกกองทัพ จากการที่นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย สส.พรรคเพื่อไทย ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เข้าสภาผู้แทนราษฎร โดยกล่าวถึงเหตุผลในการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวนี้ ซึ่งให้อำนาจคณะรัฐมนตรีมีส่วนร่วมในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายทหารระดับนายพล ว่า-ก็เพื่อเป็นการป้องกันเหตุบางอย่าง รวมถึงเพื่อรักษามาตรฐานการขึ้นสู่ตำแหน่งของทหารระดับนายพล
สส.ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ เจ้าของฉายา“หัวเขียง”ตั้งแต่ครั้งอดีตในสมัยที่เป็น สส.มหาสารคามช่วงแรกๆ เมื่อกว่า 30 ปีก่อน และเป็นผู้ที่เคยเสนอร่าง พ.ร.บ.“นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย” สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2556 เพื่อต้องการช่วยเหลืออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นผิดจากคดีทุจริต จนเป็นเงื่อนไขให้เกิด“อุบัติเหตุทางการเมือง”มาแล้ว กล่าวว่า “แนวทางนี้จะทำให้อำนาจของคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารระดับสูงลดน้อยลงไป แต่ข้อดีคือทำให้ ครม.มีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ”
“เหตุบางอย่าง”ที่ สส.หัวเขียงผู้นี้กล่าวถึงนั้น ก็เพื่อป้องกันการรัฐประหาร ซึ่งนักการเมืองเห็นว่า การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลขาดความโปร่งใส มีการวางตัวบุคคลที่เป็นพวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้สืบสายเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อๆ กันไปจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับนายทหารที่มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ใช่พวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ และส่งผลให้คนที่ไม่ใช่พวกพ้องเสียโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการทหาร ดังนั้น จึงควรให้อำนาจคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.มีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย
ถ้าจะว่าไปแล้ว ทุกวันนี้ฝ่ายการเมืองไม่สามารถเข้าไปล้วงลูกในกองทัพได้ ตั้งแต่มี พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ปี 2551 ออกมาบังคับใช้ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งฝ่ายการเมืองจะเข้าไปล้วงลูกง่ายๆ เหมือนยุค“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นทำได้ยาก เพราะมี“คณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร”เป็นตัวขวาง
โดยที่การโยกย้ายแแต่งตั้งแม่ทัพนายกองระดับนายพลจะต้องผ่านคณะกรรมการชุดนี้ หรือที่เรียกกันว่า “บอร์ด 7 เสือกลาโหม” หรือบางครั้งก็“บอร์ด 6 เสือกลาโหม” ถ้ารัฐบาลชุดนั้นไม่ได้มีการตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าไปอีกตำแหน่งหนึ่ง
“7 เสือกลาโหม”ที่ว่านี้ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน กรรมการอีก 6 คนประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, ผู้บัญชาการทหารบก, ผู้บัญชาการทหารเรือ, ผู้บัญชาการทหารอากาศ และปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นกรรมการและเลขานุการ
ดังนั้น ในจำนวน 7 คนนี้ แม้ตัวประธานคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ จะเป็นฝ่ายการเมืองก็ตาม แต่กรรมการ 5 คนหลักที่เป็นฝ่ายกองทัพ ถือว่าเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่จะคอยป้องกันไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปล้วงลูกในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับแม่ทัพนายกองได้
อันที่จริงสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เคยมีความพยายามที่จะแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 มาแล้ว เพื่อต้องการเข้าไปล้วงลูกในกองทัพ ด้วยการที่จะเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปมีส่วนในการตัดสินใจแต่งตั้งนายทหารระดับแม่ทัพนายกองได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
ย้อนไปดูสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2544-2549 ปรากฏว่าเข้าไปล้วงลูกจนกองทัพเละเทะ ทำให้สายงานการบังคับบัญชาที่มีการวางไว้อย่างเป็นระบบ ปั่นป่วนไปหมด โดยทักษิณจับวางคนของตนและญาติพี่น้องเข้าไปยึดกุมตำแหน่งหลักของกองทัพเพื่อต้องการ“กระชับอำนาจ”
กรณี พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลูกพี่ลูกน้องของ“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เมื่อทักษิณขึ้นครองอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2544 ไม่เพียงแต่จะล้วงลูกเข้าไปในสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะที่เป็นนายตำรวจเก่า โดยดึงเอาพวกพ้องเพื่อนฝูงที่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานมาด้วยกัน ขึ้นสู่ตำแหน่งหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ในกองทัพก็ทั้งดันทั้งฉุดพี่ชายซึ่งเป็นลูกของลุง คือ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ที่ไม่ได้อยู่ใน“สายคอมมานด์” แต่เป็นนายทหาร“เหล่าช่าง”เข้ามาอยู่ในไลน์เพื่อต้องการให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก
เมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ปรากฏว่าในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายจากผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 “ยศพลตรี” ขึ้นไปเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด “ยศพลโท”
จากนั้นอีก 6 เดือนต่อมา ในการโยกย้ายกลางปีเดือนเมษายน 2545 ก็มีการย้าย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร จากรองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษ กองบัญชาการทหารสูงสุด ก่อนจะย้ายข้ามฟากมาเข้าไลน์กองทัพบกในวันที่ 1 ตุลาคม 2545 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ครองยศ“พลเอก”
อีกหนึ่งปีถัดมา พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในวันที่ 1 ตุลาคม 2546
สรุปก็คือ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ใช้เวลา 2 ปี จากยศพลตรีในหน่วยทหารที่ไม่ใช่กำลังหลัก และอยู่กันคนละฟาก ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกยศพลเอก และว่ากันว่าหากไม่ใช่เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร” อย่างดีที่สุด พล.อ.ชัยสิทธิ์ ก็อาจจะเกษียณแค่ยศพลโทในตำแหน่งที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเท่านั้น
นี้คือตัวอย่างการล้วงลูกของฝ่ายการเมือง ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และตัวทักษิณเองก็ยังเคยพูดถึงว่า สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เคยมีนายทหารคนหนึ่ง“มาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.” ซึ่งก็หมายถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ที่ถูกย้ายขึ้นไปเป็นผู้บัญาชาการทหารสูงสุด ในวันที่ 1 ตุลาคม 2547
บรรทัดนี้จึงอยากจะเตือน สส.หัวเขียง“ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” และนักการเมืองพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง“นายใหญ่เจ้าของคอก” ว่า“อยู่ดีไม่ว่าดี”
ระวัง ! จะทำให้“เหตุบางอย่าง”เกิดขึ้นมาจนได้-เมื่อเอามือไปแหย่“เสือหลับ” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี