วันเสาร์ ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นักการเมือง พรรคการเมือง และบรรดา สส. นั้น ไม่เคยมองตัวเอง ได้แต่โทษโน่นโทษนี้ คิดแต่ประโยชน์และอำนาจของตนเอง และทุกครั้งที่ถูกทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจ สาเหตุก็มาจากความชั่วของนักการเมืองเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้ทหารต้องเคลื่อนกำลังออกมายึดอำนาจ เพราะโกงกินกันจนปากมันพุงกาง
ถ้านักการเมือง พรรคการเมือง และ สส. โดยเฉพาะรัฐบาลไม่ประพฤติชั่วจากการทุจริตโกงกินบ้านเมือง ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ทหารออกมายึดอำนาจ ก็มีแต่ชาวบ้านจะช่วยกันไล่และสาปส่ง ไม่ใช่นำดอกไม้ไปมอบให้
นับตั้งแต่เลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นมา จนบัดนี้เข้าปีที่ 2 ถามว่า สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ สส.จากพรรคเพื่อไทย และจากพรรคประชาชน ทำอะไรให้เกิดประโยชน์แก่ชาวบ้านบ้าง นอกจากสาละวนอยู่กับความพยามยามที่จะยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นประโยชน์แก่ตน รวมทั้งการนิรโทษกรรม และการแก้ไขมาตรา 112
ภัยพิบัติจากปัญหาน้ำท่วม 2 ครั้งที่เกิดขึ้นในปีนี้ ทั้งที่ภาคเหนือและภาคใต้ เห็นแต่กำลังพลทหารจากองทัพ ครัวพระราชทาน และภาคประชาชนที่เป็นจิตอาสา เป็นกองหน้า และเป็นกำลังหลักเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยที่แทบจะไม่เห็นหัว สส.เจ้าของพื้นที่ที่ปากอ้างประชาชน
ล่าสุดเรื่องจะเข้าไปล้วงลูกกองทัพ จากการที่นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย สส.พรรคเพื่อไทย ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เข้าสภาผู้แทนราษฎร โดยกล่าวถึงเหตุผลในการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวนี้ ซึ่งให้อำนาจคณะรัฐมนตรีมีส่วนร่วมในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายทหารระดับนายพล ว่า-ก็เพื่อเป็นการป้องกันเหตุบางอย่าง รวมถึงเพื่อรักษามาตรฐานการขึ้นสู่ตำแหน่งของทหารระดับนายพล
สส.ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ เจ้าของฉายา“หัวเขียง”ตั้งแต่ครั้งอดีตในสมัยที่เป็น สส.มหาสารคามช่วงแรกๆ เมื่อกว่า 30 ปีก่อน และเป็นผู้ที่เคยเสนอร่าง พ.ร.บ.“นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย” สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2556 เพื่อต้องการช่วยเหลืออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นผิดจากคดีทุจริต จนเป็นเงื่อนไขให้เกิด“อุบัติเหตุทางการเมือง”มาแล้ว กล่าวว่า “แนวทางนี้จะทำให้อำนาจของคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารระดับสูงลดน้อยลงไป แต่ข้อดีคือทำให้ ครม.มีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ”
“เหตุบางอย่าง”ที่ สส.หัวเขียงผู้นี้กล่าวถึงนั้น ก็เพื่อป้องกันการรัฐประหาร ซึ่งนักการเมืองเห็นว่า การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลขาดความโปร่งใส มีการวางตัวบุคคลที่เป็นพวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้สืบสายเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อๆ กันไปจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับนายทหารที่มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ใช่พวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ และส่งผลให้คนที่ไม่ใช่พวกพ้องเสียโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการทหาร ดังนั้น จึงควรให้อำนาจคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.มีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย
ถ้าจะว่าไปแล้ว ทุกวันนี้ฝ่ายการเมืองไม่สามารถเข้าไปล้วงลูกในกองทัพได้ ตั้งแต่มี พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ปี 2551 ออกมาบังคับใช้ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งฝ่ายการเมืองจะเข้าไปล้วงลูกง่ายๆ เหมือนยุค“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นทำได้ยาก เพราะมี“คณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร”เป็นตัวขวาง
โดยที่การโยกย้ายแแต่งตั้งแม่ทัพนายกองระดับนายพลจะต้องผ่านคณะกรรมการชุดนี้ หรือที่เรียกกันว่า “บอร์ด 7 เสือกลาโหม” หรือบางครั้งก็“บอร์ด 6 เสือกลาโหม” ถ้ารัฐบาลชุดนั้นไม่ได้มีการตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าไปอีกตำแหน่งหนึ่ง
“7 เสือกลาโหม”ที่ว่านี้ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน กรรมการอีก 6 คนประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, ผู้บัญชาการทหารบก, ผู้บัญชาการทหารเรือ, ผู้บัญชาการทหารอากาศ และปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นกรรมการและเลขานุการ
ดังนั้น ในจำนวน 7 คนนี้ แม้ตัวประธานคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ จะเป็นฝ่ายการเมืองก็ตาม แต่กรรมการ 5 คนหลักที่เป็นฝ่ายกองทัพ ถือว่าเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่จะคอยป้องกันไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปล้วงลูกในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับแม่ทัพนายกองได้
อันที่จริงสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เคยมีความพยายามที่จะแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 มาแล้ว เพื่อต้องการเข้าไปล้วงลูกในกองทัพ ด้วยการที่จะเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปมีส่วนในการตัดสินใจแต่งตั้งนายทหารระดับแม่ทัพนายกองได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
ย้อนไปดูสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2544-2549 ปรากฏว่าเข้าไปล้วงลูกจนกองทัพเละเทะ ทำให้สายงานการบังคับบัญชาที่มีการวางไว้อย่างเป็นระบบ ปั่นป่วนไปหมด โดยทักษิณจับวางคนของตนและญาติพี่น้องเข้าไปยึดกุมตำแหน่งหลักของกองทัพเพื่อต้องการ“กระชับอำนาจ”
กรณี พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลูกพี่ลูกน้องของ“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เมื่อทักษิณขึ้นครองอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2544 ไม่เพียงแต่จะล้วงลูกเข้าไปในสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะที่เป็นนายตำรวจเก่า โดยดึงเอาพวกพ้องเพื่อนฝูงที่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานมาด้วยกัน ขึ้นสู่ตำแหน่งหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ในกองทัพก็ทั้งดันทั้งฉุดพี่ชายซึ่งเป็นลูกของลุง คือ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ที่ไม่ได้อยู่ใน“สายคอมมานด์” แต่เป็นนายทหาร“เหล่าช่าง”เข้ามาอยู่ในไลน์เพื่อต้องการให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก
เมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ปรากฏว่าในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายจากผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 “ยศพลตรี” ขึ้นไปเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด “ยศพลโท”
จากนั้นอีก 6 เดือนต่อมา ในการโยกย้ายกลางปีเดือนเมษายน 2545 ก็มีการย้าย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร จากรองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษ กองบัญชาการทหารสูงสุด ก่อนจะย้ายข้ามฟากมาเข้าไลน์กองทัพบกในวันที่ 1 ตุลาคม 2545 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ครองยศ“พลเอก”
อีกหนึ่งปีถัดมา พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในวันที่ 1 ตุลาคม 2546
สรุปก็คือ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ใช้เวลา 2 ปี จากยศพลตรีในหน่วยทหารที่ไม่ใช่กำลังหลัก และอยู่กันคนละฟาก ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกยศพลเอก และว่ากันว่าหากไม่ใช่เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร” อย่างดีที่สุด พล.อ.ชัยสิทธิ์ ก็อาจจะเกษียณแค่ยศพลโทในตำแหน่งที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเท่านั้น
นี้คือตัวอย่างการล้วงลูกของฝ่ายการเมือง ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และตัวทักษิณเองก็ยังเคยพูดถึงว่า สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เคยมีนายทหารคนหนึ่ง“มาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.” ซึ่งก็หมายถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ที่ถูกย้ายขึ้นไปเป็นผู้บัญาชาการทหารสูงสุด ในวันที่ 1 ตุลาคม 2547
บรรทัดนี้จึงอยากจะเตือน สส.หัวเขียง“ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” และนักการเมืองพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง“นายใหญ่เจ้าของคอก” ว่า“อยู่ดีไม่ว่าดี”
ระวัง ! จะทำให้“เหตุบางอย่าง”เกิดขึ้นมาจนได้-เมื่อเอามือไปแหย่“เสือหลับ” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

กำปั้นไทยไร้พ่าย! ลิ่ว 7 รุ่นต่อยซีเกมส์
เลขาวุฒิสภา แจ้ง สว. ยกเลิกประชุมวุฒิสภา 15- 16 ธ.ค.นี้ หลังยุบสภาแล้ว
ดร.จักษ์ ชม อนุทิน ตัดสินใจระดับรัฐบุรุษ ยุบสภาครั้งนี้ เผาพรรคส้มเหลือแต่ขี้เถ้า
กกต. กางแนวทาง ค่าใช้จ่าย สส. ช่วงเลือกตั้ง พรรคการเมืองหาเสียงได้ตั้งแต่วัน ยุบสภา
ปูติน ยกระดับชีวิตพลเมืองรัสเซีย อัตราความยากจนลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี