วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ในการดำเนินการปกครองตามรัฐธรรมนูญนั้นเป็นของใหม่ในสยาม จึงปรากฏว่าช่วงแรกที่นำมาปฏิบัตินั้นจึงทำตามรัฐธรรมนูญบ้างไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญบ้าง ที่ผิดไปจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ที่เรารู้กันในวันนี้ก็คือญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น จะมีการลงมติในวันเดียวกันกับวันที่ยังมีการอภิปรายอยู่ไม่ได้ รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 มาตรา 41 บัญญัติว่า
“สภาย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะลงมติความไว้ใจในรัฐมนตรีรายตัวหรือทั้งคณะ
ญัตติความไว้ใจนั้น ท่านมิให้ลงมติในวันเดียวกันกับที่ปรึกษา”
รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนขนาดนี้ ปรากฏว่าในการประชุมสภาฯ เมื่อครั้งที่ นายกรัฐมนตรี พระยามโนปกรณ์นิติธาดา แถลงนโยบายครั้งแรกของรัฐบาล น่าจะมีความพลั้งเผลอเกิดขึ้น เพราะหลังจากที่สมาชิกได้อภิปรายซักถามและรัฐบาลได้ตอบกันเรียบร้อยไปแล้ว ประธานสภาก็ได้ขอมติทันทีในวันนั้นเอง และรัฐบาลก็ได้รับความไว้วางใจ นี่เป็นความพลั้งครั้งที่หนึ่ง
ต่อมาเมื่อพระยาพหลฯ ขึ้นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ในเดือนมิถุนายน 2476 เจ้าคุณพหลก็ต้องนำคณะรัฐมนตรีของท่านเข้าแถลงนโยบายของรัฐบาล และขอความไว้วางใจ ซึ่งก็ได้มีการปฏิบัติเช่นเดียวกันคืออภิปรายจบก็ลงมติในวันเดียวกันนั่นเอง โดยไม่มีผู้ใดทักท้วงหรือสอบถามแต่ประการใด แต่เชื่อว่าการลงมติในวันเดียวกันกับที่มีการอภิปรายไม่ว่าวางใจจบลงนั้น ได้ทำให้เกิดคำถามขึ้นในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคน จนเวลาล่วงเลยมาประมาณ 3 ปี จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2478 ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม นายเนย สุจิมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ได้ถามขึ้นกลางสภาฯ ในโอกาสที่รัฐบาลของนายกฯ พระยาพหลพลพยุหเสนา ท่านได้ปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งในครั้งนั้นมีการปรับรัฐมนตรีจำนวน 5 ท่าน ดังนั้นนายกฯจึงนำเรื่องเข้าขอรับความไว้วางใจกับสภาฯ ที่จริงเรื่องหลักคือนายเนย สุจิมา ต้องการถามว่ารัฐมนตรีที่เป็นทหารและไม่ได้เป็นครูที่รัฐบาลสับเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงธรรมการ มาดูการศึกษาของชาตินั้นเคยได้รับการศึกษาอบรมในกระทรวงธรรมการมาบ้างหรือไม่แต่ก่อนที่จะถามประเด็นหลัก นายเนยยังแสดงความสงสัยว่าการลงมติไว้วางใจจะลงได้ในวันเดียวกันนี้ได้หรือ ซึ่งวันนั้นท่านประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นนักกฎหมายสำคัญคือเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ท่านแจ้งว่า ทางรัฐบาลอ้างว่าทำได้โดยอ้างมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ และตีความว่าสามารถให้ความไว้วางใจได้ในวันเดียวกัน เมื่อมีการอ้างมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นที่จะต้องเปิดรัฐธรรมนูญอ่านดูมาตรา 50 ว่ามีเนื้อความอย่างไร ก็พบว่า
“มาตรา 50 ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไว้ใจของสภาผู้แทนราษฎร
รัฐมนตรีผู้ได้รับแต่งตั้งให้บัญชาการกระทรวงทบวงการ ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตนต่อสภาผู้แทนราษฎรในทางรัฐธรรมนูญ และรัฐมนตรีทุกคนจะได้รับแต่งตั้งให้บัญชาการกระทรวงทบวงหรือไม่ก็ตาม ต้องรับผิดชอบร่วมกันในนโยบายทั่วไปของรัฐบาล”
เมื่อดูแล้ว จะเห็นว่ามาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญไม่ได้พูดเรื่องการลงมติไว้วางใจแต่อย่างใด บอกเพียงแต่ว่าคณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไว้ใจของสภาผู้แทนราษฎร
ดังนั้นที่ว่ารัฐบาลอ้างว่าทำได้โดยอ้างมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ จึงดูแปลกเข้าไปอีก แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าในการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนั้น สภาผู้แทนราษฎรเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญแต่ผู้เดียว ดังที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 62 ของรัฐธรรมนูญ ว่า
“ท่านว่าสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งสิทธิเด็ดขาดในการตีความแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
ดังนั้นจะไปบอกว่าที่ทำมาผิดพลาดก็อาจจะไม่ได้ เพราะมีคนอ้างว่ารัฐบาลอ้างว่าทำได้ตามมาตรา 50 ไม่ใช่มาตรา 41 อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าบันทึกเอาไว้ให้ปรากฏเพื่อจะได้ทราบเรื่องราวในอดีตที่น่าสนเท่ห์
นรนิติ เศรษฐบุตร

เปิดใจ! อาสากู้ภัยนำข้าวแจกชาวบ้าน ถูกน้ำพัดหาย ยันไม่ท้อ กลับมาช่วยต่อ ส่งข้าวกล่องใหม่ 200 ชุด
'HP'เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่6,000ตำแหน่งทั่วโลก หวังลดค่าใช้จ่ายรับยุคของAI
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ 'เขมวันต์ สงคราม' เป็นพลเรือเอก และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
หมอสมเกียรติ คลินิกดังกระบี่ เปิดคลินิกรักษาฟรี2วัน ส่งต่อทุกบาทช่วยน้ำท่วม
‘อนุทิน’เยี่ยมศูนย์ อพยพ ม.อ.หาดใหญ่ สั่งเร่งระดมช่วยคนติดค้าง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี