ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพรรคประชาธิปัตย์ ในสนามเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์เอง ยังคงต้องจดจำไปอีกยาวนาน เพราะพ่อตา-ชินวรณ์ บุณยเกียรติ พรรคประชาธิปัตย์ พ่ายให้กับลูกเขย- ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ หรือ สจ.โอ จากพรรคกล้าธรรม อย่างไม่เห็นฝุ่น แม้บางคนอาจมองเป็นเรื่องตลกขบขันที่พ่อตาต้องพ่ายให้กับลูกเขย แต่เหตุการณ์นี้คงได้เล่าขานไปอีกนานยันงานบวชหลาน
บรรดาคนนอกพรรคประชาธิปัตย์ หลายคนวิเคราะห์ว่า ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ มีสารตั้งต้นมาจากการไปร่วมรัฐบาลภายใต้การควบคุมของพรรคเพื่อไทย ที่มีการปูทางเป็นขั้นเป็นตอนไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งๆ ที่ทั้งสองพรรคมีอุดมการณ์คนละขั้วผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ มายาวนาน ขณะที่สมาชิกบางคนของพรรคประชาธิปัตย์ นอบน้อมกราบไหว้ ปกป้องเทวดาทักษิณ ชินวัตร จนเกินงาม ภาพจำเหล่านี้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีจะเตี้ยลงไปเรื่อยๆ
สภาพของพรรคประชาธิปัตย์ในตอนนี้เหมือนคนไข้ที่ป่วยหนัก อยู่ในห้องไอซียู แม้คอการเมืองจะช่วยวินิจฉัยโรคให้ และแนะแนวทางแก้ไขให้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าอาการยังไม่ดีขึ้น
น่าสนใจจากข้อเสนอของคนในพรรค คือ นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ พ่ายแพ้อย่างราบคาบว่า พรรคต้องน้อมรับการตัดสินใจของประชาชน และนำผลคะแนนครั้งนี้กลับมาทบทวนอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดแนวทางฟื้นฟูพรรคให้กลับมาเป็นความหวังและเป็นที่พึ่งของประชาชนอีกครั้ง
นายนิพนธ์กล่าวต่อว่า การเมืองเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นและความศรัทธา หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถสร้างศรัทธาและความไว้วางใจจากประชาชนได้ ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ดังนั้น คณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุด ต้องกลับมาทบทวนและต้องกล้าเปลี่ยนแปลงในทุกมิติอย่างจริงจัง หากยังคงยึดติดกับแนวทางเดิมโดยไม่ปรับตัวพรรคก็มีแต่จะเสื่อมถอยและล่มสลายในที่สุด
“วันนี้พรรคต้องกล้าถามตัวเองว่า ประชาชนคิดอย่างไรกับพรรค ในสถานการณ์ปัจจุบัน ต้องกล้าประกาศแนวทางการเมืองที่สุจริต โปร่งใส และทำให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่กล่าวอ้าง แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าพรรคกล้าเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่สังคมไม่พึงประสงค์ได้จริงๆ” นายนิพนธ์ กล่าว
นายนิพนธ์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งว่าเพราะเหตุใดประชาชนจึงหันหลังให้ และจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา เพราะสุดท้ายแล้ว ประชาชนจะมอบอนาคตของประเทศและฝากฝังไว้ให้กับผู้ที่เขาเชื่อถือได้เท่านั้น
“ถ้าพรรคไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ก็มีแต่จะพ่ายแพ้พรรคประชาธิปัตย์ต้องกล้าเปลี่ยนทุกอย่าง หากไม่เปลี่ยน ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้” นายนิพนธ์ กล่าว
แล้วมีคำถามว่าแล้วพรรคประชาธิปัตย์ จะกล้าเปลี่ยนแปลงไหม เปลี่ยนแปลงอย่างไร?? ใครจะเปลี่ยน?? หรือจะเปลี่ยนใคร?? คำตอบก็อย่างที่นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวเอาไว้ ว่าอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่กรรมการบริหารพรรค ถ้ากรรมการบริหารพรรคไม่ขยับ ทุกอย่างก็รอวันล่มสลาย
ณ เวลานี้เรามองว่าพรรคประชาธิปัตย์ คงต้องคิดเองทำเองว่า ในอนาคตจะขอเป็นพรรคเล็กๆ ต่ำสิบหรือสิบต้นๆ ไปตลอดกาล ขอพลอยร่วมรัฐบาลแลกกับได้เก้าอี้รัฐมนตรี 1-2 ที่นั่ง หรือการกลับมาฟื้นฟูทำให้พรรครุ่งเรืองเหมือนในอดีต ว่าจะเลือกเอาแบบไหน
ถ้าเลือกหนทางแรกขอโหนอำนาจรัฐไปเรื่อยๆ นั้นง่าย แต่ถ้าเลือกแนวทางการฟื้นฟูพรรคแม้จะยากและเหนื่อย แต่มันคุ้มค่ากับคำว่าศักดิ์ศรีของพรรคประชาธิปัตย์ ที่สะสมมายาวนาน ขอให้โชคดีนะ พรรคประชาธิปัตย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี