สงครามภาษีระหว่างยักษ์ใหญ่สหรัฐ-จีน ที่กำลังเขย่าเศรษฐกิจโลกอยู่ในเวลานี้ ยังไม่มีใครรู้ว่า สุดท้ายจะจบลงเมื่อไหร่ และส่งผลกระทบรุนแรงแค่ไหน แม้ว่าในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จะมีแนวโน้มผ่อนคลายขึ้นจากการที่กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า ปัจจุบันจีนกำลังประเมินสถานการณ์ หลังจากเมื่อไม่นานนี้สหรัฐพยายามติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางที่เกี่ยวข้องอยู่หลายครั้ง เพื่อแสดงความปรารถนาจะจัดการเจรจากับจีนในประเด็นภาษีศุลกากร ขณะจุดยืนของจีนไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือหากถูกบังคับให้สู้ จีนจะต่อสู้จนถึงที่สุด แต่ไม่ปิดกั้นการพูดคุย
โฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า สงครามภาษีศุลกากรและสงครามการค้านั้นเริ่มต้นจากสหรัฐเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นหากต้องการเจรจา สหรัฐต้องแสดงความจริงใจ เตรียมพร้อม และปฏิบัติการเป็นรูปธรรมในประเด็นต่างๆ เช่น แก้ไขแนวปฏิบัติที่ผิดพลาดของตัวเอง และยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพียงฝ่ายเดียว โดยย้ำว่า การพูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง หรือการพยายามใช้การเจรจาเป็นเครื่องปกปิดการบีบบังคับและขู่กรรโชกนั้นจะใช้ไม่ได้ผลกับจีน
ประเมินจากสถานการณ์ตอนนี้ เหมือนจีนพลิกกลับมาถือแต้มต่อผู้นำสหรัฐแล้ว หลังจากที่เคยถูกรุกไล่จนแทบตั้งตัวไม่ติดในยกแรกๆ โดยสัญญาณที่ส่งผ่านออกมานี้ บ่งบอกว่า ทรัมป์นั่งรอต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่จีนเองก็ไว้ท่าทีไม่ได้เร่งรีบเปิดเจรจาแต่อย่างใดจึงทอดเวลาเพื่อประเมินสถานการณ์ว่า คนอย่างทรัมป์นั้น จนแต้มจริงๆ หรือเป็นแค่หมากเกมหนึ่งที่เอามาหยั่ง
ฝ่ายตรงข้ามเนื่องจากโดยพฤติกรรมแล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐผู้นี้เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย และไม่เคยลดทอนความโอหังของตัวเองในเวทีเจรจา
ทั้งๆ ที่มีข่าวพยายามติดต่อพูดคุยกับจีนแต่อีกด้านหนึ่งรัฐบาลสหรัฐได้ประกาศยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีให้แก่สินค้านำเข้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ(ไม่เกิน 26,570 บาท) จากจีนและฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2568 หลังจากมีคำสั่งยกเลิกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่ถูกระงับไว้ โดยนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พัสดุจากจีนและฮ่องกงทุกชิ้นจะถูกขึ้นภาษีร้อยละ 145 เพิ่มเติมจากภาษีที่เก็บอยู่ก่อนหน้านั้น ยกเว้นสินค้าอย่างสมาร์ทโฟนที่ได้รับการยกเว้นตามคำสั่ง โดยอ้างเพื่อจัดการกับผู้ส่งพัสดุจากจีนที่มีพฤติกรรมหลอกลวง หลายรายซุกซ่อนสารเสพติด
นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังประกาศต่อชาวอเมริกันว่าจากนี้ไปอาจจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเรื่องการใช้จ่ายและการบริโภค เพราะว่าเวลานี้เขากำลังทำสงครามการค้ากับจีนอยู่ โดยมีการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงลิ่วมากกว่าประเทศคู่ค้าอื่นๆ ซึ่งทรัมป์ยังบอกด้วยว่าสหรัฐไม่ได้ต้องการสินค้าส่วนใหญ่จากจีน โดยเฉพาะสินค้าราคาถูกที่ส่งเข้ามา พร้อมระบุด้วยว่า แม้ว่าสงครามการค้าจะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคอยู่บ้าง แต่ยืนยันว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของมาตรการเหล่านี้จะคุ้มค่าอย่างแน่นอน
เมื่อสถานการณ์เบื้องหน้ายังหาความแน่นอนอะไรไม่ได้กับคนอย่างทรัมป์ และสงครามการค้ายังต้องว่ากันวันต่อวันแบบนี้ คำถามคือแผนฉุกเฉินที่รัฐบาลไทยได้เตรียมไว้มีอะไรบ้าง และมีกี่ชั้นกันแน่ หากจะหวังพึ่งแค่หิ้วข้อเสนอใส่กระเป๋าไปเจรจาต่อรองเรื่องกำแพงภาษีอย่างเป็นด้านหลักนั้น ก็สุ่มเสี่ยงและน่าเป็นห่วงไม่น้อยเลย อย่าลืมว่า สงครามการค้าเขย่าโลกครั้งนี้ ทรัมป์เป็นผู้สร้างขึ้น และเป็นผู้กำหนดเกมเองทั้งหมด แถมยังหาความแน่นอนอะไรไม่ได้ว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้จะทำอะไรอีก และเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความต้องการที่แท้จริงของทางอเมริกาคืออะไร ต่อให้เตรียมแผนไปดีแค่ไหนก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จกลับมาเหมือนที่รัฐบาลคาดหวัง ดีไม่ดีคุยกับไม่คุยอาจจะมีค่าเท่ากัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรทำควบคู่ไป นอกเหนือจากแผนการเจรจา แผนฉุกเฉินทั้งระยะสั้นและระยะยาวแล้ว ก็ควรจะบอกความจริงกับประชาชนด้วยว่า เรากำลังเผชิญหน้าอยู่สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจในระดับไหน ไม่ใช่ให้รัฐมนตรีเรียงหน้ากันออกมาโฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยนอนฝันหวานต่อความสำเร็จที่ยังลูกผีลูกคน ทั้งๆ ที่วิกฤตโลกครั้งนี้เป็นวิกฤตของจริง และไม่รู้จะลากยาวไปถึงไหน อย่างน้อยๆ หากคว้าน้ำเหลวกลับมา หรือข้อเจรจาไม่เป็นไปอย่างคาดหวัง เราจะได้มีเวลาเตรียมตัวรับแรงกระแทกที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี