แม้เสียงปืนจากเหตุปะทะที่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที ก็สิ้นสุดลง แต่เสียงการวิพากษ์วิจารณ์ และการตั้งคำถามกลับมายังรัฐบาลไทย ยังคงดังกระหึ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแสดงบทบาทผู้นำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวอย่างทันทีของสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และบิดาของฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ที่ออกมาแสดงท่าทีทั้งดุดันและแข็งกร้าวต่อกรณีที่เกิดขึ้น โดยมีการโพสต์ถ้อยแถลงต่อเนื่องหลายครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ในลักษณะกล่าวอ้างว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายถูกรุกรานที่คล้ายกับเหตุการณ์รุกรานปราสาทพระวิหาร ช่วงปี 2551-2554
พร้อมระบุว่า ตนไม่ต้องการเห็นการสู้รบแต่สนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะส่งทหารและอาวุธหนักไปที่ชายแดน เพื่อเตรียมป้องกันตัวเองในกรณีที่มีการรุกรานเพิ่มเติม ก่อนตามมาด้วยคำแถลงต่อที่ประชุมวุฒิสภากัมพูชา ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ อ้างว่าเชื่อมั่นในการเจรจา แต่กลับยืนยันว่าจุดปะทะนั้นเป็นของกัมพูชาตนเคยไปเยือนปี’52
ถึงแม้ว่าผลการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างผู้บัญชาการทหารบกไทย-ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลง 3 ข้อคือ 1.ให้ 2 ฝ่ายแก้ไขปัญหาผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) 2.ให้ 2 ฝ่ายอยู่ในจุดเหมาะสมหรือถอนกำลังออกมาจากจุดปะทะ200 เมตร และ 3.รักษาความสัมพันธ์อันดีทั้งสองประเทศแต่ความเคลื่อนไหวของสมเด็จฮุนเซน ก็ยังไม่จบ แถลงงอกข้อตกลงเพิ่มเป็น 4 ข้อแบบมัดมือชก ยืนยันจะไม่ยอมถอนกำลังทหารออกจากจุดปะทะช่องบก
ขณะที่ทางฝ่ายไทยมีการเคลื่อนไหวผ่านกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการฉบับแรก 4 ข้อ คือ เน้นเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งตามเจตนารมณ์ของรมว.กลาโหมทั้ง 2 ประเทศ ใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ควบคุมดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด และการถอนกำลังของทั้งสองฝ่าย โดยยืนยันว่าทหารกัมพูชาถอนกำลังจุดปะทะช่องบกแล้ว
โดยพลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่าในระหว่างที่รอผลของคณะทำงาน JBC ฝ่ายไทยก็คงจะใช้การลาดตระเวนดูแลพื้นที่ ด้วยจำนวนกำลังที่เหมาะสมตามเงื่อนไขข้อตกลง MOU เหมือนในทุกพื้นที่ตามแนวชายแดนที่มีปัญหาในเรื่องการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและของพี่น้องชาวไทย โดยยังคงยึดหลักในการไม่รุกรานอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชาเป็นสำคัญ
ปัญหาขัดแย้งในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชานั้น มีมานานมากแล้ว และเป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน ยากที่จะแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงได้ในเร็ววัน หรืออาจจะแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ว่าได้เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจคาดหวังได้ว่า กลไกการเจรจาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่จะมีขึ้นในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างจะบรรลุข้อสรุปใดๆ ต่อการปักปันเขตแดน
แถลงการณ์ข้อตกลงไม่ว่าจะออกมากี่ข้อ จากฝ่ายไหนก็ตาม สุดท้ายก็แค่การหย่าศึกชั่วคราว ส่วนความข้อแย้งในเขตพิพาทยังคงเป็นระเบิดเวลาซุกซ่อนอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนต่อไป รอเพียงแค่ว่าจะปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่ และฝ่ายไหนเป็นคนสร้างข้อเท็จจริงในพื้นที่ก่อนเท่านั้นเอง บนเงื่อนไขที่ว่า ณ ช่วงเวลานั้นใครได้ผลประโยชน์ และคิดจะนำผลประโยชน์นั้นไปใช้กับสถานการณ์ใดในอนาคต ล่าสุดก็คือ สมเด็จฮุนเซน ท้าไทยขึ้นศาลโลก พร้อมอวดภาพถ่ายในอดีตอ้างสามเหลี่ยมมรกตเป็นของกัมพูชาที่ไม่สามารถถอนทหารจากดินแดนตัวเองได้
อย่างไรก็ตาม คนไทยส่วนหนึ่งได้ตื่นรู้ และพยายามส่งเสียงร้องบอกกล่าวถึงรัฐบาลมาโดยตลอดว่า ปัญหาชายแดนดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด หรือเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องมาสักพักใหญ่อย่างผิดปกติว่า เรากำลังถูกรุกล้ำอย่างไว้วางใจไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเหตุการณ์บนปราสาทตาเมือนธม การเผาศาลาตรีมุข การรุกล้ำขุดคูเลตเนิน 745 ช่องบก จนกระทั่งมาเกิดเหตุปะทะช่องบกล่าสุด
แต่ระดับผู้มีอำนาจในรัฐบาลกลับแสดงท่าทีนิ่งเฉย อย่างที่ช่องบกก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะแก้ต่างให้กับประเทศไทยกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้รุกรานเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ กรณีนายทักษิณ ชินวัตร บิดาของนายกรัฐมนตรี มองประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กน้อย คุยถึงขั้นจะเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามตะกร้อ อ้างคำพูดสวยหรูว่าเคลียร์จบแล้ว แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วมันยังไม่จบ เนื่องเพราะคำถามที่ดังก้องอยู่ตอนนี้คือ เราได้สันติภาพ แต่อีกฝ่ายได้พื้นที่เพิ่มใช่หรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี