วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เพราะ‘พรรคส้ม’จะล้ม‘อนุทิน’
ฉันเป็นคนหนึ่ง ที่ลงประชามติ “ไม่รับ” ทั้งคำถามพ่วง และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ด้วยหวังให้มีการแก้ไขบางส่วน ในเวลาที่ยังมีโอกาสแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบนักการเมือง และองค์กรอิสระ
แต่เมื่อผลประชามติออกมา เสียงส่วนใหญ่ “รับ” ฉันก็เป็นนักประชาธิปไตยพอที่จะไม่นั่งด่าทอ เกลียด โกรธ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ และเคารพผลการทำประชามตินั้น ให้เกียรติแก่เสียงของผู้ลงประชามติเป็นส่วนใหญ่นั้น ไม่เคยด้อยค่า
ใครอยากจะแก้รัฐธรรมนูญ ทางที่ควรจะเดินไป คือ “แก้ไขเป็นรายมาตรา” โดยเฉพาะมาตราที่เมื่อนำไปใช้แล้ว เป็นปัญหา ซึ่งการแก้ไขรายมาตรา ไม่เป็นภาระใดๆ ต่อประเทศชาติเลย ทั้งเรื่องงบประมาณ วันเวลา และผู้คน เพราะแก้ได้ด้วยสมาชิกรัฐสภา (สส. สว.) ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนอยู่แล้ว แม้วิธีการได้มาซึ่ง สว. ในปัจจุบัน ฉันจะไม่ยอมรับก็ตาม
แต่พรรคส้มก็ดิ้นรนจะแก้ทั้งฉบับ และไม่เคยบอกว่า มาตราใดที่เป็นปัญหา
การแก้ทั้งฉบับ เท่ากับยกเลิกหรือล้มฉบับเดิม ซึ่งมีผลประชามติค้ำคออยู่ ก็ต้องไปปลดล็อกด้วยการทำประชามติก่อน ว่าประชาชนคนไทยเห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ อันเป็นวิธีการ “เรียกความขัดแย้ง” มาให้คนเผชิญหน้ากัน แล้วเก็บแต้มจากด้อมไปเป็น “ความนิยม” ของตัว เล่นกับอารมณ์
“อยากเอาชนะ” พวกเราเท่านั้นที่ถูกต้อง พวกเราเท่านั้นที่เป็นประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญที่ดี ต้องกำเนิดจากประชาชน ซึ่งก็คือพวกเรา ไม่ใช่เขียนโดยเผด็จการ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ก็เผด็จการไม่ต่างกัน
ทางที่แก้ได้ คือ “แก้ไขเป็นรายมาตรา” เปิดกว้าง เป็นทางง่าย ทำได้ สำเร็จได้ แรงต้านทานน้อย กลับไม่ยอมเดิน
จะเดินทางที่ “เป็นไปได้ยาก” เหมือนอยากให้มีเรื่อง อยากปลุกปัญหา ปลุกความขัดแย้ง หมายจะเป็น “ผู้ถือธงนำในการต่อสู้” เรียกว่า “สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเป็นวีรบุรุษ” เพราะต่อให้โง่ที่สุด ก็รู้ได้ว่า การจะยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ล้มไป แล้วเขียนใหม่ จะเกิดแรงต้านมากมาย แต่ก็ยังคิดจะทำ เพื่ออะไร ต้องการอะไร?
ก็แค่ผลักพวกต่อต้านไปเป็น “พวกอื่น”
เพื่อหา “พวกเรา” มาเป็น “คะแนนนิยม”
มาเป็น “ฐานทางการเมือง” เพื่อไปยึดอำนาจในสภาจากการเลือกตั้งครั้งต่อไปให้ได้เท่านั้น
เพราะจะให้ขาย “ความเป็นมืออาชีพด้านการบริหาร” ก็แทบไม่เคยทำงานทำการอะไร ที่บ่งชี้ความเป็นมืออาชีพให้คนเชื่อมั่น-มั่นใจ ได้เลย
จะขายความเป็น “นักตรวจสอบ” ก็เหยาะแหยะ บ้าน้ำลาย พล่ามไปแล้วหยุด ไม่เคยเอาใครเข้าคุกได้เลยสักคน ไม่เคยอภิปรายแล้วร้องเรียน เอาจริงเอาจัง จนถอดถอนใครได้เลยสักคน
“ดีแต่พูด” กับ “ออกสื่อ”
ดีแต่ “ไลฟ์ประชุมกรรมาธิการ” สนุกกับการเล่นบท “คนมีอำนาจ” เรียกคนนั้นคนนี้มาไล่ต้อนโชว์ในห้องประชุมกรรมาธิการ แล้วฟิน แล้วมานั่งเช็คข่าว ว่าสื่อออกข่าวเยอะมั้ย มีรายการไหนเชิญเราไปออกบ้าง กับทำหล่อต่อไปในโซเชียลมีเดีย
โชว์ว่าฉันเก่ง ฉันกล้า ทั้งๆ ที่เรื่องที่ต้องทำ คือ นำมาซึ่งการเอาผิดให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ไล่ต้อนโชว์ในชั้นกรรมาธิการ หลงอำนาจ เล่นบทผู้มีอำนาจเหมือนเด็กเล่นขายข้าวแกง
“หมอเก่ง วาโย” อภิปรายอาการป่วยและการส่งตัวทักษิณออกจากคุก ไปอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจที่ไม่ปกติ ดี๊ดี
ละเอียดยิบ สามารถดำเนินการตรวจสอบเอาผิดผ่านองค์กรอิสระที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการได้เลย พรรคส้มก็ไม่ทำอะไรต่อ ไม่ร้อง
ปปช. ไม่ร้องต่อกับหน่วยงานไหนทั้งสิ้น “จัดทอล์กโชว์”
“โชว์จบแล้วก็จบ”
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อภิปรายเรื่องตั๋ว PN อุ๊งอิ๊งค์-
แพทองธาร ชินวัตร จบ แล้วหยุด ไม่เดินหน้าเอาผิด
“พล่ามแล้วพอ”
ทางเดียวที่จะหาคะแนนได้ คือ เล่นบท “นักต่อสู้” หาทางตันวิ่งชนโชว์ แล้วมายืนกระทืบเท้า ร้องไห้ กระจองอแง โวยวาย ว่าโลกใบเก่ามันขัดขวาง เพื่อปลุกให้คนมาเป็นกำลังหนุน ล้ม ทลาย สร้างโลกใหม่กันเถอะ คนรุ่นเรา
เราจะต้องแก้ ม.112
เราจะต้องแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
คนต้องเท่ากัน
ไม่เอารัฐธรรมนูญเผด็จการ
สร้างโลกยูโทเปียชวนคนมาเคลิ้ม เพื่อจะเป็นวีรชน ผู้บุกเบิก เป็นคนกล้าแห่งยุคสมัย เป็นผู้นำที่ผลักคนเดินตามไปติดคุก ไปมีคดี ไปลี้ภัย ไปเป็นเครื่องเซ่นบูชายัญ แล้วใช้
ชะตากรรมของคนเหล่านั้นมาปลุกระดมต่อ
รับบทผู้จะสร้างความเปลี่ยนแปลง (ที่ไม่ให้เกียรติความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่มีมาก่อน ไม่ให้ค่ารากเหง้าที่เคยมีมา)เน้นการโค่นล้ม อันเป็น “วิธีทางการเมือง” มากกว่า
“วิธีทางการพัฒนา” เน้นการ “แบ่งแยกเพื่อปกครอง” มากกว่าสร้างความเป็นปึกแผ่น ให้เป็น “พลังของแผ่นดิน”
การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็เช่นเดียวกัน มันคือการทำภารกิจที่รู้อยู้แล้วว่ามีอุปสรรคขัดขวาง แต่ต้องการได้ประโยชน์จากการถูกขวางไง จึงเพียรสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองถูกล้ม แล้วเล่นบทผู้ถูกกระทำ
โหวตอนุทิน โหวตภูมิใจไทย ให้เป็นรัฐบาล แต่ฉันไม่ร่วมนะ เรื่องอะไรจะร่วมล่ะ ร่วมก็ต้องทำงานสิ สู้เป็นฝ่ายค้าน ทำงานด้วยปาก เท่ๆ ดีกว่า ให้อนุทินเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เอาไว้คอยจิกหัวข่ม ร้อยเล่ห์ร้อยกล
ทำเงื่อนไขกันไว้ว่า ต้องนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญให้ได้นะ เสร็จแล้วยุบสภาเลยนะ
ไม่หรอก เราไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจหรอก (เดี๋ยวอนุทินชิงยุบสภา รัฐธรรมนูญก็ว่าวเหมือนเก้าอี้นายกฯพิธา น่ะสิ)
ตอนนั้นก็เหมือนกัน ถ้าถอยเรื่อง 112 ซะ ก็ได้เป็นนายกฯไปล่ะ ไม่ไง กูจะดื้อไง กูจะเอาให้ได้ไง กูยอมแลกกับการไม่ได้แล้วเป็น “ผู้ถูกกระทำ” ดีกว่า เป็นฮีโร่ในบทผู้พ่ายดีกว่า ฝังความโกรธแค้นเอาไว้ในใจคน หวังผลภายหน้าจะดีกว่า เซาะกร่อนบ่อนทำลายไปเรื่อยๆ จะดีกว่า ก็นี่ “พิธา” ไง ไม่ใช่ “ธนาธร”จะยอมเดินเข้าเงื่อนไขให้มันเป็นนายกฯก่อนพี่เอกได้ไง บ่มเงื่อนไขไว้ก่อน รอวันพี่เอกพ้นโทษตัดสิทธิไม่ดีกว่าเหรอ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” เรื่องอะไรจะให้ไอ้ทิมกิน (ฟรี)
ล่าสุด การจะแก้รัฐธรรมนูญเดินมาดีๆ ชนิดที่เขายอมเปิดประชุม “วิสามัญ” อันแปลว่าไม่ใช่การประชุมตามสมัยปกติ แต่เป็นสมัยพิเศษ เปิดให้ประชุมเป็นการพิเศษ เพื่อให้การนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับเกิดขึ้นได้ ก็ไปทำให้มันเกิดปัญหาอีก นั่นคือ... จะตัดอำนาจ สว. ในการโหวต
จากเดิม กติกาคือ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เสียงโหวต
ต้องเกินครึ่งของจำนวน สส. กับ สว. รวมกัน และในเสียงที่เกินครึ่งนั้น ต้องเป็นเสียง สว. 1 ใน 3 ด้วย ไม่เอาๆ กระทืบเท้า กรี๊ดๆๆๆ ต้องตัดเงื่อนไขนี้ออกไป เอาแค่เกินครึ่งก็พอ ทั้งๆ ที่จำนวน สว.
มีน้อยกว่าจำนวน สส. เขาออกแบบดุลอำนาจในการโหวตแบบนี้ไว้ เพื่อไม่ให้สภาผู้แทนราษฎร อาศัยระบบพวกมากลากไป ไม่มีใครดุลและคานอำนาจได้เลย
พรรคภูมิใจไทยเข้าเจรจา ว่า เฮ้ย!! ถ้าตึงกันแบบนี้นะ
สว. แม่งไม่เล่นด้วยแน่ รัฐธรรมนูญที่อยากแก้ก็จะไม่ได้แก้นะ เอาภาพใหญ่ให้ได้ก่อน ดีมั้ยวะ คือ ได้โอกาสแก้ ไม่งั้นถูกคว่ำแน่
แล้วทุกอย่างที่พยายามกันมา จบเลย
ถึงเวลาโหวตเรื่องนี้ โหวตแล้วแพ้ อาการ “ฮ่องเต้ซินโดรม”ก็ออก เอางี้ใช่มั้ย ได้! เดี๋ยวกูยื่นอภิปรายไม่วางใจมึง! อ้าว! ฉิบหายล่ะสิ
อภิปรายมีสองแบบ แบบลงมติกับไม่ลงมติ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลบอกว่า อภิปรายแบบไม่ลงมติสิ อยากพูดอะไรพูด อยากถามอะไรถาม อยากแนะนำให้ทำอะไร พูดเลย รัฐบาลยินดีฟัง ยินดีตอบ ยินดีให้วิพากษ์วิจารณ์เต็มที่ แต่ถ้าเลือกวิธีอภิปรายแบบลงมติ รัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อยอยู่แล้ว ยกมือยกตีนรวมกันยังแพ้ แปลว่า ไม่ได้แค่อยากอภิปราย อยากตรวจสอบ แต่อยากล้มรัฐบาลใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าเล่นเกมนี้ เรา “ยุบสภา” นะ
ก็นั่นแหละ พอฮ่องเต้ไม่ได้ดั่งใจ ประกาศว่า งั้นเดี๋ยวฉันจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนะ อนุทินก็ทูลเกล้าฯ ขอยุบสภาทันที ทางออกของเรื่องนี้ คือ เลือกตั้งใหม่กันดีกว่า ดีกว่าอภิปรายแล้วยกมือล้มรัฐบาล ไม่ว่าการตอบคำถามของการอภิปรายนั้น จะดีเพียงใด ก็แพ้เสียงส่วนใหญ่ของฝ่ายค้านอยู่ดี
ล้มรัฐบาลเสร็จแล้วเป็นยังไง ก็ต้องไปโหวตเลือกกันใหม่
เหลือใครให้โหวตล่ะ ใช้เวลากี่วันล่ะ ชายแดนก็ยิงกันอยู่ หาดใหญ่ก็ยังต้องฟื้นฟู
ยุบสภาแม่งเลย
ให้ประชาชนเป็นคนเลือกดีกว่า อย่างน้อยตามกติกา ก็กำหนดให้จัดการเลือกตั้งภายในเวลา 45-60 วัน จบ!!
ให้ประชาชนตัดสินใจ ไม่ให้นักการเมืองสร้างเกมต่อรองกันแบบที่เป็นอยู่และเป็นมากันต่อไป
เห็นกันหรือยังว่า... เมื่อล้มรัฐธรรมนูญไม่ได้ เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ก็เปิดเกมใช้เสียงส่วนใหญ่ล้มรัฐบาล รัฐบาลเลยล้มแม่งทั้งกระดาน คืนอำนาจให้ประชาชน ไป!! ไปแข่งขันกันที่สนามเลือกตั้ง จบ...
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงเหตุผลในการตัดสินใจยุบสภา ว่า ต้องการคืนอำนาจให้ประชาชน ตนและพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นรัฐบาลได้ เพราะพรรคประชาชน (ปชน.) ให้มาเป็น และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเราก็พยายามทำมาตลอด และในสัญญาที่มีต่อกันใน MOA ทั้ง 4 - 5 ข้อ พรรคภูมิใจไทยก็ปฏิบัติมาตลอด แต่เรื่องการแก้ไขมาตรา 256/28 เกี่ยวกับอำนาจ สว.ในการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เคยมีการพูดกันใน MOA มาก่อน แต่เมื่อหัวหน้าพรรคประชาชนแถลงในรัฐสภาว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทย
ไม่โหวตตามที่ต้องการ พรรคประชาชนก็จะไม่สนับสนุน และขอให้นายกฯ ยุบสภา
“ท่านโหวตให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ท่านบอกว่าไม่สนับสนุนผมแล้ว ท่านขอให้ผมยุบสภา ผมก็ทำตามท่าน เป็นไปตามมารยาท และขั้นตอนที่ควรจะเป็น” นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามว่า ก่อนถึงจุดนี้ได้เจรจากับพรรคประชาชนแล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มีการพูดคุย และประสานกัน ซึ่งคนที่ประสานงานหลัก คือนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า สาเหตุที่ตัดสินใจยุบสภามาจากการที่พรรคประชาชนเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตนคิดว่า
ชัดเจนที่ท่านต้องการให้ยุบสภา ตนก็ยุบ เพราะท่านให้ตนมาเป็นรัฐบาล ตนก็ให้เกียรติท่าน
เมื่อถามว่า การยื่นยุบสภาเป็นการยื่นก่อนที่พรรคประชาชนจะมีท่าทีในการเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เราทำทุกอย่างแล้ว มาจนถึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้มีการโหวตในวาระ 1 และวาระ 2 แต่มาติดที่มาตรา 256/28 ซึ่งพรรคภูมิใจไทยไม่มีความสามารถที่จะไปกดดันหรือบังคับโน้มน้าว สว.ตามที่พรรคประชาชนต้องการได้
“ไม่มีการหักหลังใดๆ ให้ไปดู MOA เขียนไว้อย่างไร ซึ่ง MOA ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับ สว.เลย แต่เป็นข้อตกลงที่พรรคภูมิใจไทยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึง
ข้อตกลงที่จะไม่มีการเพิ่มจำนวน สส. และไม่พยายามเป็นเสียงข้างมาก ซึ่งเป็นบริบททางการเมืองที่เราสามารถทำได้ แต่เราก็ไม่ทำ ซึ่งการขอให้มีมติเกี่ยวกับคำถามแก้รัฐธรรมนูญเราก็ทำให้ หากส่งมาให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งตนได้หารือกับ นายบวรศักดิ์
อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ท่านก็บอกว่าสามารถที่จะกำหนดวันทำประชามติได้ โดยอำนาจคณะรัฐมนตรีที่ยังรักษาการอยู่ ตนก็ทำให้ รักษาเงื่อนไขตาม MOA พร้อมย้ำว่า ไม่มีการหักหลังใดๆ ทั้งสิ้น”
เห็นกันหรือยังว่า ใครคือ “ตัวการ” ทำให้ “การยุบสภา” ต้องเกิดขึ้นก่อนเวลาตามข้อตกลง
ใครล้ม “อนุทิน”
เพื่อหวังจะฟินกับ “เป้าหมาย” ของตัวเอง !!

'เมย์'ล่าแชมป์! ฮีโร่อลป.พร้อมลุย-เช็คโปรแกรมซีเกมส์วันอาทิตย์
สดุดีวีรบุรุษจากชายแดนใต้! พ่อเปิดใจทั้งน้ำตา ภูมิใจ พลฯมุสตากีม ทำหน้าที่สมศักดิ์ศรี พลีชีพช่องอานม้า
ลิฟท์ สุพจน์ ไม่อยากให้คนชมลูกเยอะ กลัวเหลิง เสียใจคนใกล้ตัวโกงเงิน 3 แสน
ป้องกันแชมป์! 'เงือกเนย'เพิ่มอีกทองเดี่ยวผสม400ม.
ปรากฎการณ์! 'บิว'กวาดสถิติหลังคว้าทอง200เมตร

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี