วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่มีใครบอกได้ ระลอกใหม่นี้จะกินเวลาไปนานเท่าไหร่ จบลงอย่างไร หลังกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดก่อนจนมีการปะทะเดือดขึ้นเมื่อบ่ายวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน จ.ศรีสะเกษ ก่อนแนวรบขยายวงอย่างรวดเร็วในเช้าวันรุ่งขึ้นตั้งแต่ฝั่งอีสานใต้ ที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ยาวไปจนถึงภาคตะวันออก
การปะทะรอบนี้ หากจับสัญญาณจากทางฝ่ายไทย ไม่ว่าจากรัฐบาล กองทัพ และประชาชน เป็นไปในเนื้อเดียวกันนั่นคือ ต้องการให้จบ และเด็ดขาด จริงอยู่ทุกประเทศในโลกนี้ ไม่มีใครอยากได้สงครามโดยเฉพาะกับเพื่อนบ้านที่เราย้ายเขตแดนหนีกันไม่ได้ แต่เมื่อสถานการณ์บังคับเพราะเพื่อนบ้านเฮงซวยรุกราน-ยั่วยุอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องรบ
ตอนนี้คนชายแดนทั้ง 7 จังหวัด คือ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ สระแก้ว ตราด และจันทบุรี อพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 4 แสนคน แม้เดือดร้อนลำบาก ต้องละทิ้งบ้าน ทิ้งเรือนนอนชั่วคราว แต่พวกเขาก็ยังเปล่งเสียงออกมาอย่างห้าวหาญ หลีกทางให้กองทัพไปทำภารกิจให้จบ เพราะไม่อยากอพยพที่ไม่มีวันสิ้นสุดอีกต่อไป
ขณะเดียวกันผู้นำเหล่าทัพ ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนอย่างพร้อมเพรียง เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ภายใต้คำประกาศของพล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ระบุว่า “เป้าหมายคือกองทัพบกจะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา”
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงท่าที อย่างแข็งกร้าวระหว่างสรุปสถานการณ์ชายแดนต่อทูตจาก 58 ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ รวม 73 คน ว่า กัมพูชามีพฤติกรรมซ้ำเดิมทั้งยั่วยุ-รุกราน แล้วก็ปฏิเสธ เหยียบย่ำข้อตกลงหยุดยิง สร้างภาพเป็นเหยื่อ ฝ่ายไทยจำเป็นต้องปกป้องตนเอง และคุ้มครองประชาชนเพื่อยุติภัยคุกคาม ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ
เช่นเดียวกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มทหาดไทย ซึ่งออกเป็นแถลงการณ์ภายใต้มติสภาความมั่นคงแห่งชาติว่า จะปฏิบัติทางทหารทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นๆที่มีความจำเป็นด้วยความรอบคอบ ตามกฎการใช้กำลังและยึดหลักมนุษยธรรม
ทั้งหมดนี้คือ ท่าทีอย่างเป็นหนึ่งเดียวของฝ่ายไทยโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ยืนกรานว่า จะไม่มีการเจรจากับกัมพูชาแล้ว หากจะหยุดสู้รบ ต้องทำตามฝ่ายไทยกำหนดท่านั้น นั่นก็แปลว่า ระดับนโยบายมีเป้าหมายเดียวกัน คือต้องการเอาให้มันจบ และทวงคืนแผ่นดินไทย บนเงื่อนไขทางยุทธศาสตร์ตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย และคุ้มครองประชาชนแต่ไม่ใช่การรุกราน
การสู้รบตลอดหลายวันที่ผ่านมา สถานการณ์เป็นไปอย่างดุเดือด เนื่องจากมีการวัดกำลังกันมาแล้วรอบแรกในช่วงสงครามย่อยๆ 5 วัน ต่างฝ่ายต่างรู้จุดอ่อน-จุดแข็งกันดี และเราเองก็ได้ประจักษ์ชัดว่า ตลอดการหยุดยิง 4-5 เดือนที่ผ่านมา เท่ากับรอให้กัมพูชาไปตระเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ และยุทธวิธีการรบเพื่อมาแว้งกัดเรารอบ 2 รุนแรงขึ้นกว่าเดิมในวันนี้
การศึกสงคราม แม้สุดท้ายจะต้องจบด้วยการเจรจา แต่กับกัมพูชาจำเป็นต้องถูกสั่งสอนให้หลาบจำไปอีกสักร้อยปีก่อนตามสัดส่วน ไม่อย่างนั้นสันติภาพจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง และภัยคุกคามความมั่นคงของชาติก็จะยังไม่หมดสิ้นไปเพราะฉะนั้นรอบนี้หากสามารถทำให้กองทัพกัมพูชาสิ้นสภาพลงได้มากเท่าไหร่ เราจึงจะได้พบคำว่าสันติภาพที่แท้มากขึ้นเท่านั้น

ปชป. ร่อนแถลงการณ์ ซัด พรรคส้ม ออกลูกงอแงหวังประโยชน์แก้ รธน. ยอมเอา ‘อธิปไตยชาติ’ มาเสี่ยง
ยุบสภา อนุทิน ยันแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน
คอนเฟิร์ม! นายกฯอนุทิน ยื่นยุบสภาแล้ว เผยต่อรอง ปชน. ชี้ สั่ง สว.ไม่ได้ ไม่โหวตตัดอำนาจ
สะพัด อนุทิน ยื่นยุบสภาคาไว้แล้ว ตั้งแต่เย็นวันนี้ ตัดหน้า ‘ปชน.’ ล่าชื่อซักฟอกรัฐบาล
สื่อนอกตีข่าว เหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือน2ประเทศอพยพแล้วครึ่งล้านคน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี