ปรากฏการณ์คนไทยพร้อมใจกันติดแฮชแท็ก#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ด้านหนึ่งเป็นเรื่องของสำนึกความเป็นลูกหลานไทยให้กำลังใจทหารรั้วของชาติในฐานะคนที่อยู่แนวหลัง ในยามที่บ้านเมืองกำลังเผชิญหน้ากับผู้รุกราน หรือภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
แต่ข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในข้อความ #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ก็คือ การแสดงถึงระดับความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกองทัพไทยว่า เมื่อถึงสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ คนที่ไว้ใจได้มากที่สุดก็คือทหารในการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งต้องแยกแยะว่า การออกมาสนับสนุนทหารของคนไทยวันนี้ ไม่ใช่การสนับสนุนหรือกระหายสงคราม
ประการหลักที่คนไทยให้ความไว้เนื้อเชื่อใจทหารมากที่สุดในเวลานี้ สืบเนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจของฝ่ายรัฐบาล หรือนักการเมืองเอง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่แสดงออกมาหลังเกิดเหตุปะทะที่ช่องบกระหว่างทหารไทย-กัมพูชานั้น ยังเป็นภาพจำถึงภาวะผู้นำที่อ่อนแอ อ่อนหัด และไร้ชั้นเชิงในการตอบโต้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ
ยิ่งคล้อยหลังจากนั้น แม้ฝ่ายไทยถูกสองพ่อลูกผู้นำกัมพูชา ออกถ้อยแถลงเช้ายันค่ำทั้งข่มขู่ ทั้งกล่าวหาไทยเป็นผู้รุกราน หรือเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน จนกระทั่งสภากัมพูชา ลงมติให้นำพื้นที่พิพาทช่องบก และอีก 3 ปราสาทไปฟ้องศาลโลก ต่างๆ นานา ที่กระทำย่ำยีเกียรติภูมิไทย แต่สิ่งที่คนไทยมองเห็นก็คือ ความเงียบเชียบ ล่าช้า และไม่ชัดเจนด้านนโยบายจากปากของผู้นำไทย
บริบทต่างๆ ที่ไม่ชัดเจนดังกล่าว ทั้งที่เรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่ออารมณ์ และความรู้สึกของประชาชน ทำให้เกิดคำถามและวิพากษ์กันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตร กับตระกูลฮุนเซน ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ทักษิณ ชินวัตร กลับเลือกมุมที่จะเก็บตัวเงียบๆ ไม่ออกตัวหย่าศึก ซึ่งถือว่าผิดปกติวิสัยโดยแท้
ดังนั้น ด้วยคำถามคาใจต่างๆ เหล่านี้เองที่ทำให้คนไทยหวาดระแวงและเกิดข้อกังขาว่าผู้นำไทย มีความจริงใจเพียงใดต่อจุดยืนการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรี แพทองธารชินวัตร พยายามออกมาย้ำเรื่องการปกป้องอธิปไตยในภายหลัง ถึงขั้นร้องเพลงชาติไทยในท่อนไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาดต่อหน้าสื่อ แต่กลับไม่ช่วยให้ภาวะผู้นำกระเตื้องขึ้น หรือเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามเมื่อกองทัพไทย โดย พล.อ.ทรงวิทย์หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกมาประกาศจุดยืนภายหลังประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 4 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ กองบัญชาการกองทัพอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า สนับสนุนกองทัพบกใช้มาตรการทหารตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย รวมทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมด้านยุทธการร่วมของกองทัพ
ทั้งยังขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ และรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน พร้อมทั้งขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และร่วมเป็นพลังสำคัญธำรงความมั่นคง สันติสุข และความสามัคคีของชาติไทยอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกัน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ยังแทงคำสั่งงัดมาตรการเปิด-ปิดด่านชายแดนจากเบาไปหนักตอบโต้การถูกรุกล้ำอธิปไตย และตามมาด้วย ฉก.นาวิกโยธิน จันทบุรี ใช้อัยการศึกระงับนักท่องเที่ยวไทย-กัมพูชาผ่านเข้า-ออกจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม-บ้านผักกาดชั่วคราว ยกเว้นแรงงานกัมพูชาทำงานในไทย
นั่นเอง ทำให้คนไทยมองเห็นภาพความชัดเจนต่อจุดยืนในการปกป้องรักษาอธิปไตย และช่วยสร้างพลังปลุกเร้าความเชื่อมั่นของประชาชนให้กลับคืนมาว่า ความเข้มแข็งและกล้าหาญของกองทัพแห่งสยามจะสามารถพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่มีแต่คำพูดอันสวยหรูจากปากนักการเมืองที่สักแต่พร่ำคำว่า ไม่ยอมเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี