การตั้งโต๊ะเจรจาประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ซึ่งจะมีขึ้นที่กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นี้ ถูกจับจ้องว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัดสถานการณ์ในอนาคตว่า ปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นไปในทิศทางบวก หรือกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังกัมพูชายอมปรับกำลังทหารออกจากจุดปะทะที่ช่องบก กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมในปี 2567
นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ได้รับมอบหมาย ให้เป็นหัวหน้าทีมไทยเข้าร่วมประชุมกับกัมพูชา โดยมีภารกิจสำคัญ 3 นโยบายหลัก คือ 1. ใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ได้แก่ JBC GBC และ RBC แก้ไขปัญหา ลดการเผชิญหน้า 2. การเจรจาเกี่ยวกับเส้นเขตแดน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจที่ชัดเจนร่วมกัน และ 3. ฝ่ายไทยยืนหยัดที่จะปกป้องอธิปไตยของไทย และไม่ยอมเสียดินแดนโดยเด็ดขาด
ในทางยุทธศาสตร์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยังได้แต่งตั้ง พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมาธิการฯชุดนี้อีกด้วยเพื่อเพิ่มน้ำหนักความแข็งแกร่งในการเจรจา เนื่องจากคาดหมายว่าด้วยเล่ห์เหลี่ยมเขี้ยวลากดิน และความหน้าด้านของอีกฝ่ายนั้น ใช้การโน้มน้าวใจอย่างเดียวคงเอาไม่อยู่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการประชุมวงเล็กของ JBC ฝ่ายไทยจะยึด 3 นโยบายหลักในการเจรจาหนนี้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชาเห็นคล้อยตาม และคงไม่จบเสียทีเดียว อาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน เนื่องจากเขามีการวางเกมตั้งแง่เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไม่นำประเด็น 1 พื้นที่ กับอีก 3 ปราสาทของไทยมาขึ้นโต๊ะเจรจา โดยอ้างจะส่งฟ้องศาลโลก เป้าหมายของการประชุม JBC ครั้งนี้ จึงเป็นเพียงต่อยอดแก้ปัญหาที่ช่องบกเท่านั้น
ฉะนั้นแล้ว ฝ่ายไทยจึงควรต้องใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งบนโต๊ะเจรจา ต้องยืนยันในนโยบายที่แข็งกร้าวเพื่อให้ฝ่ายกัมพูชารู้ว่ากองทัพไทยเอาจริง และพร้อมจะยกระดับมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจทั้งปิดด่าน 100% ตัดไฟและอินเตอร์เนต ตามที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เคยประกาศไปแล้วว่า ถ้าปะทะอีกเมื่อไหร่โดนแน่ และเชื่อว่านี่คือการโจมตีจุดอ่อนกัมพูชาได้อย่างเข้าเป้าหมายที่สุด
โดย กองทัพไทย ได้เปิดข้อมูลหลังการใช้มาตรการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ส่งผลให้เห็นถึงคดีสแกมเมอร์ และคดีค้ามนุษย์ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจำนวนคดีคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ลดฮวบฮาบถึงร้อยละ 31.45 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ เบื้องหลังที่ทำให้ฝ่ายกัมพูชาจำต้องยอมปรับกำลังทหารในพื้นที่ขัดแย้ง ก็คือ หากมีคำสั่งตัดไฟ-ตัดอินเตอร์เนตจากฝั่งไทยเกิดขึ้นอาณาจักรธุรกิจสีเทาทั้งกาสิโน บ่อนการพนัน และกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ของเครือข่ายผู้มีอำนาจในกัมพูชา ย่อมถูกตัดกำลังและได้รับผลกระทบอย่างหนัก
จากข้อมูลของหน่วยงานด้านความมั่นคง ประเมินว่า ในฝั่งกัมพูชามีบ่อนขนาดใหญ่ และเล็ก จำนวน 154 แห่ง ถือเป็นรายได้หลักของกัมพูชาซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ เจคอบ ซิมส์
ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติและความมั่นคงในภูมิภาค ที่ชี้ว่า กัมพูชาเป็นเมืองหลวงมิจฉาชีพของโลกรายได้คอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์ อยู่ที่ราว 4-6 แสนล้านบาท คิดเป็น 60% ของ GDP แซงอุตสาหกรรมหลักประเทศด้วยซ้ำไป
แม้รัฐบาลกัมพูชาจะออกมาปฏิเสธรายงานนี้ว่าเกินจริงก็ตาม แต่นี่คือจุดตายของระบบเศรษฐกิจกัมพูชา หากยุทธการปิดด่าน ตัดไฟ ตัดอินเตอร์เนต ถูกยกระดับเมื่อไหร่ ย่อมสั่นคลอนไปถึงฐานอำนาจโดยตรงของตระกูลฮุนอย่างไม่ต้องสงสัย ฉะนั้นการเจรจาในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ฝ่ายไทยต้องไม่อ่อนข้อ ทุบได้ต้องทุบเอาให้อยู่ สู้กับคนหน้าด้านต้องเด็ดขาด ตีงูให้หลังหัก มันก็มักจะกลับมาแว้งกัดทำร้ายเราในภายหลัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี