ศึกสงครามข่าว และการกระทบกระทั่งกัน ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ยังคงคุกรุ่นและร้อนแรง หนึ่งในประเด็นที่ “ร้อนที่สุด” ยามนี้ คือ คลิป “หลานอิ๊งค์” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร คุยกับ “อังเคิ่ล” สมเด็จฮุนเซน ซึ่งไม่สะท้อนการพูดคุยแบบ “ผู้นำ” กับ “ผู้นำ” แต่เป็น “เครือญาติ” คุยกันและเป็นการคุยกันแบบ “อ่อน” ด้อยกว่าทั้งทางสติปัญญาและชั้นเชิง มีเพียงสิ่งเดียวที่เห็นชัดคือ “ความฉอเลาะ” อาจจะเพราะคิดว่าเป็นการ “คุยกันส่วนตัว” จนกระทั่งคลิปเสียงถูก “ปล่อย” ออกมาอย่างมีเจตนา
แล้วมันก็ได้ผล ในประเทศไทย มีการกล่าวถึงเรื่องนี้กันมากมาย จนถึงขั้น “เตรียมขับไล่” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้พ้นไปจากตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” หากเธอไม่มีสำนึกที่จะรับผิดชอบด้วยตัวเอง
คลิปเสียงนี้ ถูกวิเคราะห์วิจารณ์ไปในแง่มุมต่างๆ มากมาย
หนึ่งในคนที่ออกมาพูดถึงคลิปนี้ได้น่าสนใจมาก คือ “นายจักรภพ เพ็ญแข”
1) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หนึ่งในกลุ่มผู้ที่เคยทำงานใกล้ชิดนายทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยมี นายเคลียงฮวด เป็นล่าม ว่า ตนรู้จักกับนายเคลียงฮวด ตั้งแต่เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงหนีออกนอกประเทศหลังถูกสลายการชุมนุมเมื่อปี 2552 ซึ่งนายฮุนเซนและผู้ใหญ่ทางกัมพูชาก็ดูแลเป็นอย่างดี นายเคลียงฮวดเป็นคนเก่ง มีความรู้ พูดไทยได้ เพราะเคยหนีสงครามมาอยู่ที่ประเทศไทย นายฮุนเซนจึงให้เป็นล่ามแปลภาษาไทยให้ ถือว่าเป็นคนสนิท
นายจักรภาพ กล่าวด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฮุนกับตระกูลชินวัตร ก็แนบแน่นกันมาก ต้องเล่าย้อนไปถึงปี 2549 ที่นายทักษิณถูกรัฐประหารก็หนีไปอยู่กัมพูชา นายฮุนเซนก็พาญาติพี่น้องลูกหลานมาต้อนรับขับสู้อย่างดี นายทักษิณก็พาญาติพี่น้องไปทําความรู้จัก จนกระทั่งมีความรักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวกันซึ่งทุกครั้งที่ทั้ง 2 ตระกูลพบปะพูดคุยกัน ต้องมีล่ามที่พูดได้ทั้ง 2 ภาษา คือ นายเคลียงฮวด ทําหน้าที่แปลให้
ส่วนคลิปเสียง 17 นาทีที่หลุดออกมา นายจักรภพ มองว่าเป็นเพราะนายฮุนเซนปลุกสัญชาตญาณนักฆ่าออกมา เพื่อเอาตัวรอด นายฮุนเซนต้องการขายตระกูลชินวัตร ต้องการทําลายให้พ้นอํานาจ ไม่ใช่เรื่องเกลียดชัง แต่เป็นเหตุผลจากสถานการณ์ในกัมพูชาเป็นหลัก หลังจากที่เขาถูกมองว่าเป็นหุ่นกระบอกอยู่ใต้เงาของประเทศไทย นายฮุนเซนต้องการสลัดภาพนี้ออกไปเพื่อให้ฮุน มาเนต ลูกชายของตัวเองได้เชิดหน้าชูตาอย่างเต็มที่ อย่างที่ น.ส.แพทองธาร บอกตอนที่แถลงว่าทางกัมพูชาเรตติ้งทางการเมืองตก ความนิยมหายไปจึงเลือกทําเช่นนี้ และตอนนี้นายจักรภพมองว่าความสัมพันธ์ความสนิทสนมความรักใคร่กลมเกลียวกันนั้นสะบั้นลงแล้ว
“ฮุนเซนก็เป็นคนที่เด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ต้องฆ่า เมื่อไหร่ต้องทิ้ง พูดถึงสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดเนี่ยสุดยอดเลย ผมคิดว่าที่ปล่อยคลิปเสียงออกมาเนี่ย เพื่อต้องการที่จะขายตระกูลชินทั้งตระกูล ต้องการจะล้างภาพความเป็นหุ่นกระบอกของไทย เพราะคนไทยชอบมองว่าอยู่ข้างหลัง โดยเฉพาะตระกูลชิน
“พูดง่ายๆ ว่า งานนี้เผาเพื่อนพ่อเพื่อให้ลูกได้เป็นไท ไม่ใช่ไทย ย.ยักษ์ของเรานะ “ไท” แบบเป็นเอกราชน่ะครับ แล้วเลือกจังหวะนี้ก็เพราะว่า เป็นจังหวะที่คนกําลังสนใจ เป็นจังหวะจะเอาเรื่องดินแดนมาสร้างความรักชาติในกัมพูชา เอาความรักชาติมาแทนที่ความไม่สําเร็จในการบริหาร ทุกอย่างมันลงตัวหมด” นายจักรภพ กล่าว
2) ตัดกลับมาที่มุม “พ่อ-ลูก” ตระกูล “ชินวัตร” บ้าง
ในเวลานี้ นายทักษิณ ชินวัตร กำลังเจอสถานการณ์ยากลำบาก เพราะการ “ไม่ยอมติดคุก” จนมีคดี “ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ” ไล่ล่าตัวเขาและลูกสาว รวมถึงบริวารอยู่ด้วย ในยามนี้ เช่นเดียวกับลูกสาว “แพทองธาร” ที่อ่อนด้อยทั้งประสบการณ์และความรอบรู้ ที่ดูเหมือนจะถูก “ทอดทิ้ง”จากผู้เป็นพ่อหนักหน่วงมาก
3) ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊งค์” ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย ว่า หลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นสำหรับตัว น.ส.แพทองธารเองและครอบครัว จากสารพัดปัญหาที่ต้องเผชิญทั้งเรื่องคดีความต่างๆ และอุปสรรคปัญหาในการบริหารประเทศรออยู่จำนวนมาก
“นายกรัฐมนตรีคนล่าสุด คนที่ 31 ของประเทศไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ผมทำนายได้เลยว่าหลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นสำหรับคุณและครอบครัว ซึ่งทั้งพ่อและแม่ของคุณเองก็รู้อยู่เต็มอก เป็นเพียงแต่ว่าพ่อของคุณอาจจะมีความอำมหิตกว่าที่จะเดินหน้าทางการเมือง ด้วยการผลักลูกออกมาเป็นหุ่นเชิด” นายสนธิ กล่าว
และว่า “... “ทักษิณ” มักจะใช้ยุทธวิธีส่งคนไปตายแทน ก็คือไปติดคุกติดตะรางแทน โดยใช้เงินทองแลกเปลี่ยน แต่ตอนนี้“อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร เหมือนกับเป็น “ไพ่ใบสุดท้าย” ทำให้รอบนี้คนที่เสี่ยงตายที่สุดกลับกลายเป็นลูกสาวตัวเอง
“ท่านผู้ชมลองสังเกตดูได้ว่า หลังจากนี้จะได้เห็นภาพของการวิ่งโร่ไปตามสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ประคับประคองลูกสาว นายกฯ รัฐมนตรีฟันน้ำนมทำให้ตอนนี้สื่อบางเจ้าเริ่มแสดงท่าทีถลกกระโปรงอ้าขารอคุณทักษิณไปหาอยู่แล้ว”
4) ครั้นมาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กล่าวถึง “นายทักษิณ ชินวัตร” ว่า “คุณเป็นพ่อภาษาอะไร ทำไมอำมหิตขนาดนี้” ความว่า ...
“ผมมีลูกสองคน ผมรักพวกเขาอย่างที่สุด สิ่งที่ผมจะไม่มีทางทำกับลูกของผมคือ
1. เพียงเพื่อรักษาอำนาจของตัวคุณเอง คุณพร้อมที่จะส่งลูกที่ยังไม่มีความพร้อม ทั้งความรู้ ทัั้งความสามารถทั้งประสบการณ์ เข้าสู่สถานที่ที่มีแต่พวกเขี้ยวลากดินหน้าไหว้หลังหลอก พร้อมจะทรยศหักหลัง ฯลฯ
2. เพียงเพื่อที่จะทำให้คุณยังสามารถใช้อำนาจ คุณวางตำแหน่งให้ลูกของคุณเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด คอยทำตามแผนการตามที่คุณวางเอาไว้ คอยรับออเดอร์ที่คุณสั่งเอาไว้ ไม่ได้เห็นเลยว่าลูกคุณจะมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีหรือไม่
3. และในเวลาที่คุณเจอปัญหาส่วนตัวคุณเอง คุณกลับเพิกเฉยที่จะเสือกเหมือนกับที่คุณเคยทำ เพราะคุณมัวแต่จิตตกกับปัญหาส่วนตัว จนคุณส่งลูกคุณไปดีลกับอสรกุ๊ยข้ามชาติ พูดจาพล่อยๆ แบบไม่เดียงสา เอาความจริงของคุณกับลูกไปโพนทะนากับศัตรู รับใช้ รายงาน รับออเดอร์จากศัตรู คุณหายหัวไปไหนในวันที่ลูกคุณต้องการคุณมากที่สุด ในการทำเรื่องที่ยากที่สุดแทนคุณ โดยที่เขาไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีประสบการณ์
4. แล้วต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าลูกคุณต้องหนีคดีอาญาหมวด 3 มาตรา 119-120-121-122-123-124 ที่ไม่มีอายุความ และมีโทษอาจจะถึงประหารชีวิต แน่นอนคุณมีเงิน คุณก็อาจจะให้ลูกของคุณหนี ไปใช้ชีวิตหรูหราอยู่ต่างประเทศราวกับเจ้าหญิง แต่ลูกคุณพึ่ง 30 ปลายๆ เองนะ ทั้งชีวิตที่เหลือจะเป็นยังไง
5. แล้วหลานคุณล่ะ เขาจะต้องมารับกรรมอีก เพราะจากนี้ต่อไปเขาจะถูกพูดถึง ถูกล้อเลียน ถูกพูดจาลับหลังว่า คุณตาของเขาโกงชาติ คุณแม่ของเขาขายชาติ
คุณมันเป็นพ่อ เป็นตา ที่อำมหิตจริงๆ คุณอาจจะประสบความสำเร็จในการวิ่งเต้นใช้เส้นสายจนคุณผูกขาดธุรกิจสร้างความร่ำรวยระดับหมื่นล้านแสนล้าน แต่คุณล้มเหลวในสิ่งที่แม้แต่ยาจกเข็ญใจก็ทำได้ นั่นคือ การเป็นพ่อที่ดี”
5) เว็บไซต์ บีบีซีไทย เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา เผยแพร่การฟังคลิปเสียงสนทนาระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับนายกฯ แพทองธาร ของ ผศ.ดร.ธิบดี บัวคำศรี จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า “เนื้อใหญ่ใจความของการแปลไม่ผิด แต่บางจุดมีการตกหล่น โดยอาจเป็นเรื่องของอารมณ์หรือน้ำเสียงของคำแปลที่มีการแปลผิดบ้าง ไม่แปลบ้าง หรือมีการแปลเป็นอย่างอื่น ที่อาจทำให้เข้าใจเป็นอย่างอื่น หรือเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างสองฝ่าย”
โดย ผศ.ดร.ธิบดี ไล่เลียงถึงประเด็นที่พบจากการแปลของล่ามกัมพูชา ว่า ส่วนแรก มีข้อความที่ไม่ได้แปล และแปลเกิน ข้อความที่ไม่มีการแปลในช่วงแรก ได้แก่ เมื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ กล่าวถึงการเปิด-ปิดด่าน สมเด็จฮุนเซน กล่าวถึง 2 ครั้งว่า ไม่เจรจา แต่คำว่าไม่เจรจา ไม่ปรากฏในคำแปลของล่าม
“ฮุนเซน บอกว่าไม่เจรจา คือ ถ้าไทยจะเปิด [ด่าน] ก็เปิดแต่ไม่คุยกันว่าเราจะเปิดพร้อมกัน หรือไม่คุยกันแม้กระทั่งว่าเราจะเปิดก่อนหรือเขาเปิดก่อนแล้วเราเปิดตาม นี่คือส่วนที่มันหายไป คือฮุนเซนยืนยันเสียงแข็ง แล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ฮุนเซน บอกว่าไม่เจรจา”
ผศ.ดร.ธิบดี กล่าวว่าเมื่อฟังในจุดนี้แล้วรู้สึก “สะดุด” แต่ทั้งนี้ไม่แน่ชัดว่าในทางการเจรจาระหว่างประเทศ การแปลโดยการเก็บน้ำเสียงของผู้พูดมีความสำคัญมากเพียงใด หรือเน้นการแปลแบบสรุปความแล้วให้ได้เนื้อหาเท่านั้น
ช่วงที่สอง ผศ.ดร.ธิบดี กล่าวว่ามีช่วงตอนหนึ่ง ฮุนเซน กล่าวถึงผลประโยชน์ของประเทศที่จะไม่ยอมแลกกับการนับถือกัน เป็นประโยคที่ล่ามไม่ได้แปลภาษาไทยออกมา เป็นข้อความที่สมเด็จฮุนเซน กล่าวว่า
“ผมเข้าใจ เห็นใจ แต่ไม่สามารถเอาผลประโยชน์ประเทศชาติมาแลกเปลี่ยนกับการนับถือกัน เพราะคือหน้าตาของกัมพูชา”
ประโยคช่วงนี้ใกล้กับช่วงที่ล่ามแปลข้อความที่พูดคุยเรื่องการเปิด-ปิดด่าน โดยสมเด็จฮุนเซน กล่าวว่า
“หลานที่รัก อาบอกได้เลย ถ้าเราไม่มีคำสัญญาเรื่องปรับกำลังแล้ว ทุกอย่างปกติ แต่ถ้าทหารไทยไม่ยอมเปิดด่านพรุ่งนี้ ทางนี้ก็มีการห้ามเรื่องการส่งออกเกษตรทั่วชายแดนเลย เพื่อกดดันทหาร”
เมื่อถามว่า การไม่ได้รับรู้ข้อความนี้มีนัยต่อความเข้าใจของผู้ฟังหรือไม่ ผศ.ดร.ธิบดี แสดงความเห็นว่า หากเขาเป็นผู้ฟังอยู่ตรงนั้น และได้มารับรู้ในภายหลังก็ถือว่าเป็นประโยคที่มีผลต่อความเข้าใจในระดับหนึ่ง
ส่วนข้อความที่ล่ามแปลออกมาเป็นภาษาไทย ทั้งที่สมเด็จฮุนเซน ไม่ได้กล่าว คือคำที่บอกว่า “เป็นลูกผู้ชาย”
ประเด็นถัดมา คือข้อสังเกตเรื่องการใช้สรรพนามในการแปลของล่ามที่กล่าวเรียกสมเด็จฮุนเซน ในช่วงที่แปลข้อความจาก น.ส.แพทองธาร ผศ.ดร.ธิบดี กล่าวว่า การพูดคุยในช่วงแรกเป็นไปในลักษณะ น.ส.แพทองธาร คุยกับสมเด็จฮุนเซน ผ่านล่าม โดยล่ามแปลสรรพนามทั้งสองฝ่ายด้วยภาษากัมพูชา ที่แปลว่า ดิฉัน/ผม แต่ช่วงถัดมา ล่ามแปลกัมพูชากลับใช้คำเรียกสมเด็จฮุนเซน ในภาษากัมพูชาที่มีคำแปลว่า “พ่อ”
“ในประเด็นนี้ไม่ทราบเจตนาว่าเป็นเพราะล่ามกล่าวเรียกอดีตนายกฯ กัมพูชาด้วยคำเช่นนั้น หรือล่ามคิดว่าควรจะให้ น.ส.แพทองธาร เรียกฮุนเซน ว่าเช่นนั้น” หรืออย่างกรณีที่นายกฯ เรียกสมเด็จฮุนเซน ว่า “ท่าน” แต่ล่ามก็ไม่ใช้คำนี้ ทั้งที่ในภาษากัมพูชามีคำแปลเฉพาะของคำนี้อยู่ “ทั้ง ๆ ที่คำว่า “ท่าน” ก็มีคำแปลได้ แต่ไม่ได้แปล หรือว่าอย่างการเรียกฮุน มาเนต ก็เรียกว่า สมเด็จอธิบดี ไม่เรียกแบบที่ น.ส.แพทองธาร เรียกว่า ฮุน มาเนต หรือนายกรัฐมนตรีกัมพูชา”
ผศ.ดร.ธิบดีกล่าว “มันอาจจะไม่ได้มีผลต่อเนื้อหาสาระเท่าไหร่ แต่ผมไม่รู้ว่าในนัยด้านอื่นมีผลมากน้อยแค่ไหน”
สรุป : อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้ว ไม่คิดว่า “ทักษิณทิ้งลูกสาว” เพราะนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่แบกมติพรรคมาบอกให้นายกฯ ลาออก ยังไม่บอกกับนายกฯ เลย แต่ไปบอกที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” แทน ในเวลาที่นายกฯ ไปอุบลราชธานี
แล้ว “พีระพันธุ์” คุยกับใคร “พ่อ” หรือ “แม่” ที่แน่ๆ คงไม่ได้คุยกับ “หมา” ในบ้านหลังดังกล่าว...แน่นอน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี