คำพิพากษาของศาลที่สั่งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกลับไปชดใช้โทษจำคุก หลังจากที่พิสูจน์แล้วว่า การอ้างว่าป่วยวิกฤตจึงต้องไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ 180 วัน นั้นไม่ใช่อาการป่วยวิกฤตอย่างที่อ้าง หรือที่เรียกว่า “ป่วยทิพย์”
การตัดสินครั้งนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่เพียงเพราะเป็นการตัดสินใจในคดีของอดีตผู้นำทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่ง แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าหลักนิติรัฐและความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมายยังคงมีชีวิตอยู่ในสังคมไทย
ตลอดกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา คำว่า “ทักษิณ” ไม่ได้หมายถึงบุคคลเพียงคนเดียวหากแต่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางการเมือง ความแตกแยกทางสังคม และการตีความกฎหมายที่ถูกดัดแปลงเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คดีความมากมายที่ทับถมอยู่บนตัวอดีตนายกฯ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่เคยกุมอำนาจรัฐมิใช่ผู้บริสุทธิ์พ้นผิด หากแต่ยังต้องอยู่ใต้กรอบกติกาเดียวกับประชาชนทั่วไป
การที่ศาลยืนหยัดใช้บรรทัดฐานเดียวกับคนทั้งประเทศ จึงมิใช่การแก้แค้นหรือการเมืองเชิงล้างแค้น หากเป็นการ “คืนความยุติธรรมให้สังคม” เพื่อย้ำว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ไม่ว่าคนนั้นจะเคยมีตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด การยอมให้ผู้นำคนหนึ่งหนีคดีได้โดยไม่ต้องรับผิด คือการบ่อนทำลายศรัทธาต่อรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรมอย่างสิ้นเชิง
คำพิพากษาครั้งนี้ยังเป็นบทเรียนให้กับสังคมไทยว่า “อำนาจไม่จีรัง แต่ความจริงและความยุติธรรมเท่านั้นที่ยั่งยืน” ผู้นำอาจใช้กลยุทธ์ทางการเมืองหรืออำนาจเงินเพื่อซื้อเวลา แต่ไม่อาจลบล้างหลักฐานและความจริงในประวัติศาสตร์ได้ เมื่อศาลยืนหยัดทำหน้าที่อย่างอิสระ ประชาชนจึงมีความหวังว่ากระบวนการยุติธรรมยังสามารถเป็นที่พึ่งได้ แม้ต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมืองมหาศาล
ที่สำคัญ เราต้องไม่ลืมที่จะชื่นชม พลังของภาคประชาชนทุกฝ่าย ที่ไม่นิ่งนอนใจปล่อยให้เรื่องนี้จางหายไปตามกาลเวลา หากแต่ยังคงส่งเสียง ตั้งคำถาม และเรียกร้องความจริงอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวจากภาคสังคมคือแรงกดดันสำคัญที่ทำให้สถาบันยุติธรรมไม่อาจละเลย และต้องยืนหยัดในบรรทัดฐานแห่งความถูกต้อง การไม่เพิกเฉยของประชาชนจึงเปรียบเสมือน “เกราะป้องกัน” ไม่ให้ความยุติธรรมถูกบิดเบือน
อย่างไรก็ตาม การคืนความยุติธรรมครั้งนี้จะสมบูรณ์ไม่ได้ หากสังคมไทยเพียงเฝ้ามองโดยไม่เรียนรู้ เราจำเป็นต้องใช้เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนในการสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ที่ผู้มีอำนาจต้องเคารพกติกาและพร้อมรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ไม่ใช่หลบหนีแล้วรอจังหวะกลับมาอย่างผู้ชนะ ความยุติธรรมจะยั่งยืนก็ต่อเมื่อประชาชนทุกคนตระหนักว่าการละเมิดกฎหมายไม่อาจหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ได้
ท้ายที่สุด สิ่งที่ศาลได้ทำในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และเพื่อส่งสารชัดเจนไปยังทุกกลุ่มอำนาจว่า ประเทศนี้ยังมีหลักการ ไม่ได้ปกครองด้วยความกลัวหรือเครือข่ายผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว คำพิพากษานี้จึงเป็นมากกว่าการลงโทษบุคคล แต่คือการประกาศว่าประเทศไทยยังมีความหวังในการเดินหน้าบนเส้นทางแห่งนิติธรรม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี