พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
ถือเป็นโอกาสใหม่ครั้งประวัติศาสตร์ ที่จะกำหนดทิศทาง แนวทาง และอนาคตของพรรคการเมืองที่มีความเป็นสถาบันเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
1. นายธนิตพล ไชยนันทน์ ผู้อำนวยการพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 18 ก.ย. เวลา 10.00 น. จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคชุดรักษาการ เพื่อพิจารณากำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการจัดประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อเลือก กก.บห.และหัวหน้าพรรคชุดใหม่
“การเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ตามข้อบังคับของพรรค เปิดกว้างให้ผู้ที่ได้รับการคัดสรรมีโอกาสมากขึ้น และขณะนี้ทั้งกรรมการและสมาชิกสาขาพรรคต่างก็กระตือรือร้นอย่างมากที่จะได้ผู้บริหารและหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งถือเป็นความหวังของพรรคฯ ในการเลือกผู้นำคนใหม่เข้ามารับหน้าที่” – นายธนิตพลกล่าว
เท่ากับว่า คณะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่นี้เอง ที่จะนำทัพพรรคประชาธิปัตย์ลงสนามเลือกตั้งครั้งหน้า ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต้นปีหน้า หรืออีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว
2. ผลการสู้ศึกในสนามเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ช่วงหลัง มีจำนวน สส.เข้าสภา ลดน้อยถอยลงอย่างต่อเนื่อง
จากพรรคการเมืองหลัก กลายเป็นพรรคไม้ประดับการเมือง
จากเคยมี สส. เต็มพื้นที่ กทม. เป็นพรรคที่ไม่มีแม้แต่เก้าอี้เดียว
จากที่ไม่เคยสูญเสียฐานภาคใต้ให้แก่พรรคการเมืองอื่น ก็เสียแล้ว เสียอีก
นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์
ไม่แค่เลือกตัวหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค แต่มันคือการเลือกอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์เอง
3. สวนดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “ความคาดหวังต่อพรรคการเมืองไทย ณ วันนี้” (ระหว่างวันที่ 9-12 กันยายน 2568)
หากมีการเลือกตั้ง ณ วันนี้ ประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองใด?
ร้อยละ 23.94 พรรคประชาชน
ร้อยละ 21.35 ยังไม่ตัดสินใจ
ร้อยละ 14.20 พรรคภูมิใจไทย
ร้อยละ 11.61 พรรคเพื่อไทย
ร้อยละ 10.39 พรรคพลังประชารัฐ
ร้อยละ 18.51 พรรคอื่นๆ (ไทรวมพลัง 3.25%, ประชาธิปัตย์ 3.17%, ไทยสร้างไทย 1.79%, ประชาธิปไตยใหม่ 1.79%, ไทยก้าวหน้า 1.70% ฯลฯ )
เรียกว่า พรรคประชาธิปัตย์แทบจะไม่อยู่ในสายตาของประชาชนทั่วไป
โพลสวนดุสิตสะท้อนว่า มีแค่ 3.17% เท่านั้น
นี่คือสัญญาณอันตรายของพรรคประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง
เพราะถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ประชาธิปัตย์จะเหลือแค่ สส. เขตบางพื้นที่ๆแข็งจริงๆ เหนียวแน่นจริงๆ
แต่จะไม่ใช่พรรคการเมืองระดับชาติอีกต่อไปอย่างสิ้นเชิง
จะเหลือสภาพเป็นพรรคคล้ายๆ พรรคเฉพาะพื้นที่ เฉพาะบางถิ่น เหมือนบางพรรคในปัจจุบัน เช่น พรรคสุพรรณบุรี เป็นต้น
4. ขณะเดียวกัน สวนดุสิตโพลก็เผยให้เห็นโอกาสของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึง
เมื่อคะแนนพรรคส้ม ตกต่ำลงจากเดิมอย่างมาก เพราะประชาชนรู้เห็นพฤติกรรมปลุกปั่นวาทกรรมซ้ำซาก สวนทางกับความเป็นจริง หนุนม็อบสามนิ้วบ่อนทำลายสถาบัน มุ่งจะนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ฯลฯ
พรรคเพื่อไทยก็เสียฐานเสียงไปมากจากการข้ามขั้ว แถมไร้ความสามารถในการขับเคลื่อนนโยบายหาเสียง และยังมีกรณีคลิปเสียงขายชาติให้อังเคิล
ประการสำคัญ เลือกตั้งครั้งหน้า จะไม่มีลุงตู่มาเป็นตัวเลือกในการเลือกตั้ง ซึ่งที่ผ่านมา คนเคยเลือกประชาธิปัตย์จำนวนมากหันไปเลือกลุงตู่
ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏว่า มีประชาชน ร้อยละ 21.35 ยังไม่ตัดสินใจ
ตรงนี้ นับเป็นโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึง
5. ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ฉายภาพกติกาการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ บริบทแวดล้อม และยังให้มุมมองที่น่าสนใจถึงแนวโน้มและความเป็นไปได้
ว่าด้วยเรื่อง “ศึกชิง “หัวหน้าพรรค ปชป.” ใครคุมเกม?
เนื้อหาบางส่วนบางตอนระบุว่า
“ใครจะเป็นผู้คุมเกมตัวจริง?
1. เกมตัวเลข... ใครคุมคะแนนเสียง?
ตามข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ “โหวตเตอร์” ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
(1) สส.ปัจจุบันมีคะแนน 40% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่
กลุ่ม สส.คือฐานกำลังที่แข็งที่สุด ใครกุมเสียง สส.ได้ก็มีโอกาสได้รับชัยชนะ
ปัจจุบัน สส.ของพรรค ปชป. มีจำนวน 25 คน มีคะแนน 40%
นั่นหมายความว่า สส. 1 คน จะมีคะแนนถึง 1.6% (40%/25)
(2) กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) มีคะแนน 20% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่
เดิม กก.บห. มีทั้งหมด 40 คน ลาออกไป 8 คน เหลือ 32 คน
ในจำนวนนี้มีคนที่เป็น สส.ปัจจุบัน 8 คน
เหลือ กก.บห.ที่ไม่เป็น สส. 24 คน มีคะแนน 20%
นั่นหมายความว่า กก.บห. 1 คน จะมีคะแนน 0.83% (20%/24)
(3) โหวตเตอร์อื่น เช่น อดีตหัวหน้าพรรค อดีตเลขาธิการพรรค อดีต สส. รัฐมนตรีของพรรคในปัจจุบัน อดีตรัฐมนตรีของพรรค หัวหน้าสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด เป็นต้น
มีคะแนน 40% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่
ตามข้อบังคับพรรค โหวตเตอร์ทั้งหมดจะต้องมีอย่างน้อย 250 คน
ดังนั้น จำนวนโหวตเตอร์อื่นจะต้องมีไม่น้อยกว่า 201 คน (250-25-24) มีคะแนน 40%
นั่นหมายความว่าโหวตเตอร์อื่น 1 คน จะมีคะแนน 0.20% (40%/201) เท่านั้น
ถ้าในวันเลือกตั้ง มีโหวตเตอร์เข้าร่วมมากกว่า 250 คน จะยิ่งทำให้โหวตเตอร์อื่นมีคะแนนต่อคนลดน้อยลงอีก
สรุปง่ายๆ เสียง สส. และ กก.บห.แทบจะชี้ขาดทุกอย่าง เพราะมีคะแนนต่อคนสูง และส่วนใหญ่ยังอยู่ใน “ขั้วอำนาจเดิม”…
นั่นคือคำตอบว่า “ขั้วอำนาจเดิม” เป็นผู้คุมคะแนนเสียง!
2. สมการชนะเลือกตั้ง
ลองคิดเล่นๆ... ถ้าได้คะแนนเสียงจาก สส. 21 คน คิดเป็น 33.6% บวกกับ กก.บห. 20 คน
คิดเป็น 16.60% รวมแล้วได้ 50.20%... ชนะเลือกตั้งทันที!
นี่คือเหตุผลว่าทำไม “ขั้วอำนาจเดิม” จึงได้เปรียบ
3. ทำไม “คนนอกขั้วอำนาจเดิม” จึงสู้ยาก?
เหตุผลคือ กลุ่ม สส.รวมกับกลุ่ม กก.บห. มีคะแนนรวมถึง 60%
ถ้าขั้วอำนาจเดิมรวมกันได้ครบ “คนนอกขั้วอำนาจ” แทบจะหมดสิทธิ์ตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม!
แต่ยังมี “สูตรคณิตศาสตร์การเมือง” ที่จะทำให้ “คนนอกขั้วอำนาจ” พอจะมีลุ้นคือ... (1) ต้องเจาะเข้าถึง สส.บางส่วน แค่ 4 คน ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ยังไม่พอ (2) ต้องมีเครือข่าย กก.บห.ที่ยอมแหกค่าย (3) ต้องกวาดคะแนนจากโหวตเตอร์อื่นอย่างน้อย 30-35% จากทั้งหมด 40% ซึ่งไม่ง่าย
4. สรุป
ถ้า “ขั้วอำนาจเดิม” เห็นว่าพรรคฯ อยู่ในสถานการณ์ที่คะแนนความนิยม “จมดิ่ง”ยากที่จะเข็นต่อไป และมีความรักพรรคฯ อย่างจริงใจ หันมาเปิดไฟเขียวให้หนุน “คนนอกขั้วอำนาจ”
พรรคฯ จะได้ผู้นำคนใหม่ ที่มาจากนอกขั้วอำนาจเดิม มาช่วยกันฟื้นฟูพรรคฯ ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น...
แต่ถ้าขั้วอำนาจเดิมจับมือกันแน่น ผลลัพธ์แทบจะถูกเขียนไว้ล่วงหน้าแล้ว
สุดท้าย อยู่ที่ “โหวตเตอร์ทุกคน” จะเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เพื่อใคร?
เพื่อส่วนรวม? หรือเพื่ออำนาจของบางกลุ่ม?”
6. ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมา อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ลาออก ไปอยู่พรรคอื่น หรือไปตั้งพรรคใหม่ มีมากมาย
เรียกว่า มากที่สุดกว่าทุกพรรค ก็ว่าได้
อาทิ
เลียง ไชยกาล ไปตั้งพรรคประชาชน (พ.ศ. 2490)
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พรรคกิจสังคม
ไถง สุวรรณทัต พรรคราษฎร (พ.ศ. 2517)
สมัคร สุนทรเวช พรรคประชากรไทย
บุญยิ่ง นันทาภิวัฒน์ พรรคเสรีธรรม (พ.ศ. 2522)
อุทัย พิมพ์ใจชน พรรคก้าวหน้า (พ.ศ. 2526)
เอนก เหล่าธรรมทัศน์ และ สนั่น ขจรประศาสน์ พรรคมหาชน
ณัฏฐพล ทีปสุวรรณและคณะ พรรคพลังประชารัฐ
สุเทพ เทือกสุบรรณ พรรครวมพลังประชาชาติไทย
วรงค์ เดชกิจวิกรม พรรคไทยภักดี
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ
กรณ์ จาติกวณิช พรรคกล้า ฯลฯ
ขณะนี้ ชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แต่จับตาดูว่า จะมีใคร “คืนรัง” เพื่อกลับมาฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์อีกบ้างหรือไม่ และต้องต่อสู้กับกลุ่มที่กุมอำนาจอยู่ในปัจจุบันแค่ไหน อย่างไร?
7. การตัดสินใจของประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่ออดีต แต่เป็นเพื่ออนาคต
เป็นโอกาสสร้างจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์
ต้องเลือกว่า กลุ่มที่คุมพรรคอยู่ในปัจจุบัน จะเอาคนของตนเองขึ้นคุมพรรต่อแบบเบ็ดเสร็จ
หรือ เอาคนเก่าๆ ของพรรค ในสมัยที่เคยรุ่งโรจน์ ยิ่งใหญ่ กลับมาฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง
หรือ จะถือโอกาสนี้ ผลัดใบ ผลักดันให้คนรุ่นใหม่ขึ้นบริหารพรรคประชาธิปัตย์ โดยคนเก่าๆในยุครุ่งเรืองที่มีประสบการณ์โชกโชนคอยสนับสนุนประคับประคอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี