รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาวันที่ 29กันยายนวันนี้เป็นวันแรก โดยจะเสร็จสิ้นในวันที่ 30 กันยายนพรุ่งนี้ และมะรืนนี้วันที่1 ตุลาคม ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของ“รัฐบาลหนูชั่วคราว”ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูลเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นวันแรกของปีงบประมาณ 2569
อีกทั้งยังเท่ากับเป็นวันแรกในการเริ่มทำงานของข้าราชการการเมือง คือ คณะรัฐมนตรีชุดนี้ พร้อมกับข้าราชการประจำที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่ แทนคนเก่าที่ครบวาระเกษียณราชการ และรวมทั้งยังเป็นวันแรกของการเริ่มใช้งบประมาณรายจ่ายปี 2569 อีกด้วย จากวงเงินทั้งสิ้น 3.78 ล้านล้านบาท
4 เดือนของ“รัฐบาลหนูชั่วคราว”นี้ถือว่าเวลาสั้นมาก และด้วยเวลาเพียงเท่านี้ เมื่อดูนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาแล้ว เวลา 4เดือนนั้นน้อยไป และนอกจากเวลาจะน้อยแล้ว เงื่อนไขภายนอกก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญด้วย
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงตามร่างนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาว่า นอกจากการเข้ามาเป็นรัฐบาลด้วยเวลาอันจำกัด ยังจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนรอบด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ซึ่งปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งโอกาสในการสร้างรายได้ของประชาชน และการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ขยายความให้เห็นภาพว่า“ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่จำกัด และงบประมาณที่รัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นผู้จัดทำ ทั้งยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ภัยด้านเศรษฐกิจ ภัยด้านความมั่นคง ภัยด้านสังคม และภัยด้านสิ่งแวดล้อม ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่กับการต้องวางรากฐานของประเทศ การขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนการสร้างระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืน การสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและสันติสุขให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมือง และการเสริมสร้างความไว้วางใจจากประชาชน การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ”
หากดูรายละเอียดในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล จากนโยบายสำคัญที่จะแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศทั้งหมด 5ด้าน ประกอบด้วย ด้านเศรษฐกิจ, ด้านความมั่นคง, ด้านสังคม,ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสุดท้ายด้านการบริหารภาครัฐ รวมทั้งการปฏิรูปกฎหมาย นั้น จะทำได้ก็เพียงแค่สองสามเรื่องเท่านั้นกับเวลา 4 เดือนที่มีอยู่
เช่นด้านเศรษฐกิจ ที่จะ“สร้างรายได้-ลดรายจ่าย”ให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เกี่ยวกับค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ค่าผ่านทาง เพื่อจะทำให้ประชาชนมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยได้จัดทำโครงการคนละครึ่งนั้น ข้อนี้สามารถทำได้ทันที และก็ตรงปกตรงประเด็นกับปัญหาเดือดร้อนของประชาชนในเวลานี้ ที่มีผลมาจาก 2ปีที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศ
อีกเรื่องหนึ่ง ด้านความมั่นคง ตามนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เมื่อพิจารณาดูแล้วกว้างไป จากที่บอกว่า“จะเร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพ เพื่อนำความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ประชาชนตามบริเวณชายแดนโดยเร็ว และรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทยโดยชอบธรรมตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากล รวมถึงดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง ตลอดจนทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ ให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา”
สำคัญที่สุดก็คือ เรื่อง“MOU”ที่ว่าจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำประชามติ ประเด็นนี้ถือว่า“เงื้อง่าราคาแพง”,,ทำไมต้องทำประชามติ เพราะ“MOU”ทั้ง 2 ฉบับ คือ “MOU43”กับ“MOU 44”นั้น รัฐบาล“ชวน หลีกภัย”และรัฐบาล“ทักษิณชินวัตร” จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจขึ้นมาก็ไม่เคยถามประชาชน ก่อนที่จะลงนามกับกัมพูชา
จึงมีคำถามว่า ทำไมจะต้องจัดทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ ฟังผิวเผินก็อาจจะดูดี แต่เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว การที่รัฐบาลไม่ประกาศยกเลิกทันทีทันใดโดยรัฐบาลเอง ก็เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังซื้อเวลา เพราะไม่กล้าตัดสินใจ และที่ไม่กล้าตัดสินใจนั้น เป็นเพราะมีผลประโยชน์อื่นใดทับซ้อนหรือไม่
ด้วยเหตุที่“MOU”ทั้งสองฉบับดังกล่าว มีผลเสียต่อประเทศไทยในด้านเขตแดน เนื่องจาก MOUทั้งสองฉบับนี้มีเงื่อนไขสำคัญที่เอื้อประโยชน์ต่อกัมพูชา และอาจทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาปักปันเขตแดนทางทะเล
กล่าวคือ “MOU 43” หรือ“บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” ซึ่งมีการลงนามเมื่อปี 2543 ในสมัยรัฐบาล“ชวนหลีกภัย”นั้น มีปัญหามาโดยตลอด เนื่องจากนับตั้งแต่มี“MOU43”จนกระทั่งถึงปัจจุบัน กัมพูชาละเมิดเงื่อนไขมากกว่า 600 ครั้ง จากการรุกล้ำเขตแดนไทย ทั้งการปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวร การเคลื่อนกำลังทหาร และการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิด เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบันทึกความเข้าใจนี้ยึดแผนที่มาตราส่วน 1 : 2แสน แทนที่จะยึดตามแนวทางปฏิบัติของกองทัพไทย และในทางสากลที่ใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 5 หมื่น
ส่วน “MOU 44” ที่ลงนามในปี 2544 สมัย“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวกับแหล่งปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติตรงบริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด ซึ่งประเมินกันว่ามีมูลค่ามหาศาลมากกว่า 20ล้านล้านบาท
สรุปแล้ว ทางที่ดีที่สุด เพื่อลดกระแสต่อต้านจากประชาชน “รัฐบาลหนูชั่วคราว”ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะต้องยกเลิก“MOU”ทั้ง 2ฉบับนี้ทันที โดยไม่ต้องโยนลูกไปให้ประชาชนตัดสินใจ
หาไม่เช่นนั้นแล้ว ประชาชนคนไทยจะเข้าใจผิดได้ว่า-รัฐบาลชุดนี้มีผลประโยชน์อื่นใดทับซ้อนหรือไม่ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี