การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29-30 กันยายนที่ผ่านมา เป็นอีกเหตุการณ์ที่สะท้อนทิศทางใหม่ของการเมืองไทย แม้รัฐบาลที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะมีกรอบเวลาการทำงานเพียง 4 เดือน ตามข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOA) กับพรรคประชาชนแต่สิ่งที่ปรากฏในการแถลงและการตอบข้อซักถามกลับสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนจากการแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดก่อนหน้า
จุดที่ได้รับการจับตามากที่สุด คือการมี รัฐมนตรีคนนอกที่ได้รับเชิญเข้ามารับตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งหมดล้วนไม่ได้มีภูมิหลังจากการเมืองแบบระบบโควตา หากแต่เป็นผู้มีประสบการณ์ตรงในสายงานของตน การชี้แจง การอธิบายเชิงนโยบาย และการตอบข้ออภิปรายของรัฐมนตรีเหล่านี้จึงมีลักษณะที่ชัดเจน เป็นระบบ และอ้างอิงเหตุผลอย่างเป็นรูปธรรม
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความแตกต่างจากการแถลงนโยบายในอดีต ที่หลายครั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเต็มไปด้วยถ้อยคำกว้างๆ แต่ขาดรายละเอียดด้านวิธีการปฏิบัติ และเมื่อถูกซักถาม ก็มักกลายเป็นการโต้แย้งทางการเมืองมากกว่าการนำเสนอข้อมูลเชิงนโยบายที่สามารถตรวจสอบได้ การปรากฏตัวของรัฐมนตรีคนนอกจึงไม่เพียงสร้างความแตกต่างในเชิงบุคคลหากแต่ยังสร้างมาตรฐานใหม่ของการทำงานฝ่ายบริหารให้ปรากฏบนเวทีสาธารณะ
แม้จะเป็นที่เข้าใจได้ว่า เวลาสี่เดือนเป็นช่วงที่สั้นเกินไปในการแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม แต่สิ่งที่ปรากฏแล้วในวันนี้ คือการยกระดับความคาดหวังต่อคุณภาพของบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี พรรคการเมืองทั้งหลายไม่อาจเพิกเฉยต่อมาตรฐานใหม่นี้ได้อีกต่อไป หากยังคงยึดติดกับระบบโควตา โดยไม่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถ และความเหมาะสมของบุคคล ย่อมเสี่ยงต่อการสูญเสียความไว้วางใจจากสังคม
ในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนเองก็มีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดทิศทางทางการเมือง การส่งสัญญาณไปยังพรรคการเมืองว่า สังคมไม่ยอมรับการจัดสรรตำแหน่งบนฐานอำนาจทางการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการเห็นบุคคลที่มีคุณภาพและศักยภาพในการทำงานอย่างแท้จริง จะเป็นแรงกดดันให้การเมืองไทยปรับเปลี่ยนอย่างยั่งยืน
รัฐบาลอนุทินอาจไม่มีเวลามากพอในการพิสูจน์ผลงานเชิงนโยบาย แต่ได้สร้างสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการสร้างตัวอย่างให้เห็นว่า การเมืองไทยสามารถก้าวไปสู่รูปแบบที่เน้นคุณภาพของบุคลากร มากกว่าการแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเมือง หากมาตรฐานนี้ได้รับการสืบต่อและพัฒนาในอนาคต การเมืองไทยก็อาจก้าวพ้นข้อจำกัดเดิมๆ และสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้แก่สังคมได้อย่างจริงจัง
ในท้ายที่สุด แม้เวลาเพียงสี่เดือนอาจสั้นเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายแต่ก็ยาวนานพอที่จะเปลี่ยนมาตรฐานทางการเมือง หากการเมืองคือศิลปะแห่งความเป็นไปได้รัฐบาลอนุทินได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ความเป็นไปได้ของการเมืองไทย อาจไม่ได้ปิดตายอยู่ในวงจรเดิมอีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี