พูดได้เต็มปากว่าเราเคยเข้า-ออก พื้นที่ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา นับร้อยครั้งระหว่างสงครามกลางเมืองกัมพูชาในห้วงเวลาที่เขมรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเองตายไปกว่าสองล้านคน
แต่การข้ามชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังเป็นป่าเขาระหว่างสงครามกลางเมือง เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนนั้น เราไม่มีทางรู้ได้ว่า เส้นแบ่งเขตแดนของสองประเทศอยู่ตรงไหนที่พอเข้าใจบ้างคือพื้นที่ซึ่งมีลำคลองกั้นกลางบางจุดในจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเวลานี้เปลี่ยนเป็นจังหวัดสระแก้ว
และเข้าใจเอาเองว่าตรงไหนเป็นเขตแดนไทย คือที่มีทหารไทยเวลานั้นเรียกว่าหน่วย 838 ตั้งฐานหรือจุดประจำการอยู่ การเข้าไปที่มั่นเขมรแดงซึ่งเป็นแหล่งข่าวสำคัญในยุคนั้น ต้องมีการนัดหมายกันเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทหารไทยจับได้ เนื่องจากเราทำงานกับสำนักข่าวต่างประเทศ จึงเน้นทำข่าวกลุ่มผู้ก่อการร้ายหรือฝ่ายต่อต้านทหารเวียดนาม ที่เข้ามาช่วยรบฝ่าย ฮุนเซน รัฐบาลพนมเปญตอนนั้น การทำงานจึงเน้นไปที่เขมรสามฝ่าย
ในห้วงเวลาสงครามกลางเมือง เราเข้าถึงฐานเขมรแดงตั้งแต่เมืองไพลิน ตรงข้าม จ.จันทบุรี จนถึงช่องอานม้าจ.อุบลราชธานี ที่เป็นปัญหากันอยู่ทุกวันนี้ พูดได้ว่าจุดที่ขัดแย้งปะทะกันเราเคยไปทำข่าวแล้วทั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่เราไม่เคยรู้ว่าเส้นแบ่งเขตแดนหรือหลักเขตประเทศไทยอยู่ตรงไหน
เนื่องจากว่ารัศมี 5 กิโลเมตร จากเขตแดนเป็นเขตกฎอัยการศึกที่ทหารเข้มงวดในการเข้า-ออกมาก และทุกครั้งที่สอบถามเจ้าหน้าที่ ตรงนั้นตรงนี้เป็นเขตประเทศไทยใช่ไหม ทำไมเราจึงเข้าไปไม่ได้ก็ไม่เคยได้รับคำตอบใดๆ
อย่างไรก็ตาม การเข้าไปทำข่าวเขมรแดงได้ต้องมีผู้ใหญ่จัดให้ และผู้ใหญ่เหล่านั้นเตือนเราเสมอว่าเข้า-ออกทางไหน เข้าไปได้อย่างไรต้องเก็บไว้กับตัวเอง เพราะระหว่างสงครามทุกอย่างอ่อนไหวมาก พลโทสนั่น ขจรกล่ำ เจ้ากรมกิจการชายแดน ในเวลานั้นบอกเราระหว่างแถลงข่าวว่า “สุทิน เราอาวุโสกว่าน้องๆ หลายคนเวลาแถลงข่าว อย่าถามเรื่องเขตแดนได้ไหมเพราะไม่มีใครสามารถตอบได้”
เลยเข้าใจว่าระหว่างสงครามอาจมีการรุกล้ำกันไป-มา เพราะเป็นพื้นที่ป่าเขา ครั้งหนึ่งทหารไทยพานักข่าวเข้าไปดูพื้นที่สู้รบที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เห็นศพทหารต่างชาติยังไม่ได้เก็บกู้หลายศพ จึงรู้ว่าต่างชาติล้ำเข้ามาในดินแดนไทย
ส่วนพื้นที่ค่ายอพยพตั้งแต่เขาอีด่าง อ.วังน้ำเย็น ขึ้นไปถึงไซค์ k จังหวัดสุรินทร์ เรารู้เพียงว่า อยู่ในเขตประเทศไทย แต่เจ้าหน้าที่เข้มงวดมากในบางครั้งเราต้องให้ผู้อพยพที่เป็นทหารแดง ลักลอบพาเราเข้าศูนย์อพยพจากหลังค่ายซึ่งเป็นป่า
สรุปว่า เราเข้า-ออกชายแดน และค่ายผู้อพยพนานนับสิบปี โดยที่ไม่รู้ว่าเส้นแบ่งแดนอยู่ตรงไหน จนกระทั่ง ปี 2543 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ริเริ่มทำข้อตกลงสำรวจเขตแดนร่วมกับกัมพูชา ถึงได้เข้าใจบ้างว่าเขตแดนของใครอยู่ตรงไหน แต่เรื่องนี้ไม่ได้รับความสนใจจากคนไทยมากนัก จนกระทั่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้าบริหารประเทศในปี 2566 พร้อมๆ กับการเดินทางกลับบ้านหลังจากหนีคุก 17 ปี ของนายทักษิณ ชินวัตร
เนื่องจากทักษิณเป็นเพื่อนกับฮุนเซน ดังนั้นเมื่อทักษิณกลับมามีอิทธิพลเหนือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทำให้เกิดความสงสัยว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับรัฐบาลพรรคประชาชนกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซน มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่หนึ่งในนั้น คือ ทรัพยากรธรรมชาติ ก๊าซและน้ำมันในอ่าวไทยซึ่งเกี่ยวพันกับ MOU 44 ที่ทักษิณทำกับกัมพูชา
เรื่อง MOU ไทย-กัมพูชา จึงกลายเป็นเรื่องถกเถียงกันตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหาร และส่วนใหญ่ถกเถียงกันแบบตาบอดคลำช้าง คือ คนที่เถียงกันไม่เคยอ่านและไม่เคยเห็น MOU ด้วยซ้ำ จนอธิบดีกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ ออกมาแถลงว่า MOU เป็นกรอบเจรจา ที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่นักเคลื่อนไหวผู้รักชาติยังเถียงคอเป็นเอ็น ว่า MOU ทำให้ไทยเสียเปรียบต้องยกเลิก
การถกเถียงเป็นเวลานาน ยังไม่มีใครสรุปได้ว่ายกเลิก MOU ดีหรือไม่ จนนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า ต้องทำประชามติให้ประชาชนตัดสินว่า ควรยกเลิก MOU หรือไม่ และเมื่อถึงจุดที่เห็นว่า พากันออกทะเลกันไปไกล บังเอิญได้อ่าน ข้อคิดเห็นของอาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน ทำให้อุ่นใจว่า ยังมีผู้รู้จริงให้ความเห็นพอเชื่อถือได้
ที่ให้น้ำหนัก อ.ทรงฤทธิ์ โดยส่วนตัวรู้จักกันตั้งแต่สมัยทำข่าวสงครามกลางเมืองกัมพูชา อ.ทรงฤทธิ์รู้จริงและรู้มากกว่าเราหลายเท่า เนื่องจากว่าเขาไปปักหลักทำข่าวสืบสวนสอบสวนอยู่กรุงพนมเปญนานหลายปี ในขณะเราทำข่าวฉาบฉวย คือ ไปพนมเปญหรือเข้าป่าไปหาแหล่งข่าวครั้งละสองสามวัน เมื่อได้ประเด็น ก็กลับมาทำข่าวทั่วไปประเทศไทย
เข้าใจว่ายุคนั้นกลุ่ม Manager ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไปตั้งสำนักงานศูนย์ข่าวในพนมเปญ และ อ.ทรงฤทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ข่าวนั้น เขาจึงมีเวลาทำข่าวและค้นคว้าทำสารคดีอุษาอาคเนย์ไปในตัว อ.ทรงฤทธิ์ แตกฉานภาษาขแมร์จึงเข้าใจความคิดของ ฮุนเซน อย่างถ่องแท้
ความคิดเห็น อ.ทรงฤทธิ์ เรื่อง MOU มีดังต่อไปนี้...จากสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ท่ามกลางกระแสเรียกร้องในไทยที่ต้องการให้ยกเลิก MOU 43-44 เพราะมองว่า ทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชานั้น
อ.ทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง วิเคราะห์เรื่องนี้ในรายการ “เรื่องใหญ่ Live Talk” ว่า ที่ตนเคยบอกว่ากัมพูชาต้องการยกเลิก MOU นั้น การที่กัมพูชาต้องการยกเลิก MOU เพราะเขาเห็นว่าถ้าทำตาม MOU นี้ต่อไปเขาจะเสียเปรียบ
ส่วนที่มีกลุ่มคนเคลื่อนไหวในประเทศไทยให้ยกเลิก MOU 43-44 เพราะมองว่าทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชานั้น อ.ทรงฤทธิ์ บอกว่า ควรจับเข่าคุยกันจะได้รู้ความจริง ซึ่งก็ชื่นชมคนที่รักประเทศชาติและต้องการรักษาอธิปไตย ทั้งนี้เรื่องอธิปไตยไม่มีประเทศไหนในโลกอยากให้มีมือที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง เขตแดนมันคืออธิปไตยของไทยกับกัมพูชาเท่านั้น แล้วเราอยากจะเอามหาอำนาจเข้ามาสอดแทรกหรือ เพราะ MOU นี้มันผูกกันไว้แล้ว 2 ประเทศ ส่วนตรงไหนจะแบ่งกันยังไงมันคือเรื่องการสำรวจ
นอกจากนั้น อ.ทรงฤทธิ์ ยังบอกอีกว่า แล้วเราก็เบาใจได้ เพราะเมื่อใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่เรียกว่า LiDAR สแกนไปแล้ว ฮุนเซน เห็นแล้วว่าเขาจะเสียมากกว่าได้ เพราะมันละเอียดเทียบเท่าแผนที่ 1 : 25,000 ซึ่งพอสแกนไปแล้วจะเห็นภูมิประเทศทั้งหมด สันปันน้ำอยู่ตรงไหน ไม่ต้องลงไปเดินสำรวจเลยก็ยังได้ นั่งหน้าจอมอนิเตอร์ด้วยกันแล้วปักหมุดเขตแดนกันได้เลย แต่ฮุนเซน เพิ่งมารู้เทคโนโลยีนี้ในปี 2017 ซึ่งตอนนี้เทคโนโลยีนี้ได้บรรจุไว้แล้วในการประชุม JBC ครั้งล่าสุด ดังนั้น ฮุนเซนจึงอยากจะฉีก MOU นี้ทิ้ง
เรื่องนี้เราอยากให้แผนที่โบราณที่ฝรั่งเศสทำไว้มาเป็นตัวตัดสินหรือ แต่ถ้าเราทำตาม MOU ซึ่งไม่มีมหาอำนาจไหนมาแทรกได้ เพราะมีระบุในบันทึก TOR และข้อ 8 ของ MOU ปี 2000 เขียนชัดเลยว่าเมื่อสำรวจแล้วไม่ลงตัวกัน ก็คุยกันแค่ 2 คน ดังนั้น ผมว่า MOU ปี 2000 เป็นคุณมากกว่าเป็นโทษต่อประเทศไทย” อ.ทรงฤทธิ์ กล่าว
ฟังจากข้อคิดเห็น อ.ทรงฤทธิ์ ทำให้ผู้เขียนเอนเอียงตามไปว่า MOU 43-44 ยังมีประโยชน์ใช้เป็นกรอบเจรจา หากยกเลิกไปแล้วต่อไป เราจะเอาอะไรเป็นข้ออ้างอิงว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
ส่วนที่นายกฯอนุทิน กล่าวว่า ต้องทำประชามติ คิดว่านั่นเป็นการซื้อเวลาของนักการเมือง นายกฯอนุทินต้องรับข้อมูลเป็นจริงจากข้าราชการประจำ ที่แนะนำว่า ยกเลิก MOU เสียมากกว่าได้ แต่โดยธรรมชาติของนักการเมือง จะไม่ขัดใจคนไทยรักชาติหวงแหนอธิปไตย ซึ่งเชื่อตามกระแสข่าวเก็บ MOU ไว้มีแต่ทำให้ไทยเสียเปรียบ
ลึกๆ แล้วเชื่อว่าท่านนายกฯก็เอนเอียงไปตามความเห็นของ อ.ทรงฤทธิ์เหมือนกับผู้เขียน แตกต่างกันที่เรารู้จัก อ.ทรงฤทธิ์มากกว่า เรารู้แม้กระทั่งว่า อ.ทรงฤทธิ์มีคู่ชีวิตที่เคยทำข่าวสงครามกลางเมืองกัมพูชาร่วมกับเรา
ดังนั้นเมื่อข้อมูลจากสองนักข่าวผู้รู้จริงมาประสมประสานกัน ทำให้เราเชื่อตาม อ.ทรงฤทธิ์ ว่าเก็บ MOU ไว้มีแต่ได้มากกว่าเสีย
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี