วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ข้อเสียของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ว่าแต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรี จนกระทั่งปัจจุบันนี้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่เปลี่ยน นั่นคือคำพูดคำจา ที่ไม่ได้คิดก่อนพูด พอพูดออกไปแล้วก็ทำให้มีปัญหาตามมาในวงกว้าง
ในยุคที่พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเกือบ 40 ปีก่อนนั้น พล.อ.ชาติชาย เจ้าของวลี“เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า” อันเกี่ยวเนื่องมาจากปัญหาระหว่าง“ไทย-กัมพูชา”และปัญหากัมพูชากับกัมพูชาว่าด้วย“เขมรสิ้นชาติ”ในพื้นที่อินโดจีน ได้มีวรรคทองเรื่องคำพูดเป็นอนุสติเตือนใจว่า “คำพูดหากยังไม่พูดออกไป เราเป็นนายมัน แต่ถ้าพูดออกไปแล้ว มันก็เป็นนายเรา”
ความหมายก็คือ ก่อนที่เราจะพูด เรายังสามารถควบคุมความคิดและคำพูดของเราได้ แต่เมื่อเราได้พูดออกไปแล้ว คำพูดนั้นก็จะมีผลและเป็นนายเรา คือเราต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้าย
ในยุคก่อนหน้า พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ คือยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของประเทศไทย พล.อ.เปรมเลือกที่จะไม่พูด เรียกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวน้อยที่สุด จนได้รับฉายาว่า“เตมีย์ใบ้”
สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เกิดวิกฤต“โควิด-19”ช่วงปี 2563 ก็เคยถูกบุคลากรทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขจี้จะให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้ว เพราะพูดโดยไม่ได้ยั้งคิด
ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับกรณีมีข่าวว่าแพทย์ติดเชื้อโควิด โดยผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะเจ้ากระทรวงสาธารณสุขจะมีมาตรการดูแลหมอและพยาบาลที่ต้องอยู่หน้างานอย่างไร
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ตอบว่า “เท่าที่ผมได้รับรายงาน การติดเชื้อของแพทย์จากการปฏิบัติหน้าที่ให้การรักษาโควิด ยังไม่มี นี่คือสิ่งที่จะต้องไปหวดกัน อันนี้ต้องยอมรับ พวกเราก็ไม่พอใจ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เฝ้าระวังตัวเอง ซึ่งเราควรจะต้องเป็นบุคคลตัวอย่าง ต่อให้ไม่เป็นบุคคลตัวอย่าง เราก็จะต้องเป็นคนที่ต้องมีการเตรียมพร้อมตัวเองตลอดเวลา ว่าช่วงนี้มีสถานการณ์ระบาด โรคแบบนี้เราต้องป้องกันตัวเองให้มากที่สุด นี่เป็นสิ่งที่ต้องระวัง มัวแต่ไประวังของนอกบ้าน ของในบ้าน บางทียังหละหลวมอยู่ ต้องขออภัยด้วย และจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก”
จากคำพูดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่บอกว่า“จะต้องไปหวดกัน” ก็กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขึ้นมา ถึงขนาด“แฮชแท็กอนุทิน”ในโลกโซเชียลได้ขึ้นอันดับหนึ่งเทรนด์ทวิตเตอร์ โดยมีชาวเนตวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก พร้อมกับมี“แฮชแท็กเซฟบุคลากรทางการแพทย์”ของกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งยังมีการเรียกร้องให้นายอนุทินลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี
จนในที่สุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล ต้องออกมาขอโทษโพสต์ผ่านทางคลิปเสียงและภาพ โดยอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิหรือต่อว่าใคร เพราะรู้ว่าบุคลากรทางการแพทย์ทำงานอย่างหนัก ซึ่งนายอนุทินแก้ตัวไว้อย่างนี้-ยกมาให้ดูสองย่อหน้า
“ท่านทั้งหลายผมต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง กระผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี หรือมีเจตนาที่จะตำหนิใครเลย ผมมีแต่ความชื่นชม มีความศรัทธาและเคารพในสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติอยู่ ซึ่งเป็นภารกิจที่ใหญ่หลวงมาก วันนี้ผมอาจจะมีความกดดัน และก็ไม่ทันได้ฟังคำถามให้ดี แล้วไปตอบคนละเรื่องกับคำถาม ผมได้รับรายงานว่ามีแพทย์ที่ติดเชื้อสามสี่คนซึ่งเมื่อผมได้ทราบว่า ท่านเหล่านี้ไม่ได้ติดเชื้อจากให้การดูแลคนไข้ ผมจึงต้องการจะสื่อสารว่า พวกเราเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำคัญมากในการให้การดูแลคนไข้ที่ป่วยโควิด”
“เพราะฉะนั้น เราจะป่วยไม่ได้ เราจะต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่าง เราจะต้องรักษาตัวเอง ซึ่งผมใช้คำว่าเซฟตัวเองให้มีความปลอดภัย เพื่อที่เราจะรักษาคนไข้ได้ ผมถือโอกาสนี้ พูดว่า ผมเสียใจในสิ่งที่ผมสื่อสารไม่ผ่าน และผมจะปรับปรุงตัว และขอให้ท่านได้ให้โอกาสผม ขอให้มั่นใจว่า ผมไม่มีเจตนาร้ายใดๆ กับท่านเลย มีแต่ความรักความห่วงใย ขอให้ท่านมั่นใจครับ”
อย่างไรก็ตาม สมัยนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผลกระทบก็อาจจะอยู่ในวงแคบ แต่เมื่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาล ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นกินวงกว้าง และเสียหายใหญ่หลวง ซึ่งล่าสุดก็เรื่องกัมพูชาที่พูดไปโดยไม่ได้คิดให้เสร็จสรรพก่อน ภาษาชาวบ้านเรียกว่า“ปากพล่อย” ที่ไปพูดว่า นอกจากกัมพูชาจะรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยแล้วในส่วนของไทยที่รุกล้ำเข้าไปในฝั่งกัมพูชาก็มี
และสุดท้ายแล้วก็อีหรอบเดิม นายอนุทิน ชาญวีรกูล ต้องออกมาของโทษขอโพยหลังจากตกเป็นข่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ที่ผมพูดนั้น หมายถึงในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ที่ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์กันอยู่ เราก็ทำให้มันเคลียร์ไปทั้งสองฝ่ายก็ต้องเจรจาต่อไป เพื่อให้เกิดความชัดเจน ก็ขอโทษด้วยที่ทำให้สับสน คือผมต้องการจะบอกว่าทุกอย่างทั้งสองฝ่ายก็ต้องทำตามข้อตกลง”
นอกจากเรื่องพูดโดยไม่คิด ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นนิสัยถาวรที่ไม่เปลี่ยนแล้ว ลายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่มีลักษณะคุยโม้โอ้อวด ในแบบฉบับของ“มีรูมีหนู” ก็ยังค่อยๆ เริ่มปรากฏออกมาให้เห็นอีกจากการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมเมื่อวานนี้ก่อนเดินทางไปเกาหลีใต้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 32 โดยที่ผู้สื่อข่าวถามว่า “มีชาวบ้านชายแดนมีความกังวล การลงนามสันติภาพ จะทำให้ไทยเสียเปรียบ”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ตอบว่า ตั้งแต่หลังจบการศึกษาประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนมา ยังไม่เคยรู้สึกว่าได้ทำให้องค์กรที่สังกัดอยู่เสียเปรียบ แต่ตรงกันข้ามกลับมีความชำนาญพอสมควรในด้านการเจรจา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้า หรือความเมือง และบางครั้งก็ทำได้มากกว่าที่คาดหวัง แต่จะยึดหลักคู่เจรจาต้องได้รับความเป็นธรรม ซึ่งเป็นเทคนิคของตัวเอง ไม่สามารถอธิบายได้ และว่า“เท่าที่พอจำความได้ ไม่เคยเสียเปรียบใครคนถึงไม่ชอบหลายคน”
บรรทัดนี้คงต้องยกสุภาษิตมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า“พูดดีแต่อย่าดีแต่พูด” เพราะจะทำให้กลายเป็น“ปลาหมอตายเพราะปาก”เอาได้โดยง่าย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

แนวหน้าวิเคราะห์ : แหล่งแร่’แรร์เอิร์ธ’-สหรัฐสนใจ อยู่ในโซนไหนของประเทศไทย
กรมอุตุฯเตือน‘13 จังหวัด’ฝนตกหนัก ‘กทม.’ฟ้าคะนอง40% ของพื้นที่
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงก่อตั้ง ‘พิพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ’ แหล่งความรู้ที่ยั่งยืนผ่านเครื่องแต่งกายในราชสำนัก
หงส์ร่วงบอลถ้วย!พ่ายพาเลซคารัง-เช็คผลทุกคู่
พร้อมกันหรือยัง!!! เปิดภาพพยากรณ์อากาศ 12-13 พ.ย. อุณหภูมิเย็นลงอีกครั้ง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี