วันพุธ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ฐานะหัวหน้าพรรคน.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรค ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ นายทะเบียนพรรค นายพายุเนื่องจำนงค์ รองโฆษกพรรค น.ส.เพ็ญชิสา หงษ์อุปถัมภ์ชัย สส.บัญชีรายชื่อ นายณษกร เครือศิริ ว่าที่ผู้สมัครสส.อ่างทอง ลงพื้นที่ หมู่ 5 ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง เพื่อพูดคุยรับฟังปัญหาของชาวบ้าน ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน รวมถึงมอบถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องใช้จำเป็นช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัย
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า วันนี้มีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วม หลายพื้นที่ภาคกลางประสบปัญหาน้ำท่วม ตั้งแต่สุโขทัยลงมาถึงอ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา โดยปีนี้ฝนตกหนักในรอบ 40 ปี รวมถึงพนังกั้นน้ำแตก 3 จุด ที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่เคยถูกจัดการอย่างเป็นรูปธรรม เบื้องต้นต้องมีระบบเปิด-ปิดประตูน้ำอัตโนมัติ ภาครัฐต้องช่วยยกบ้านให้สูงขึ้น ซึ่งในอนาคตพรรคเพื่อไทยจะมีนโยบายการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ส่วนเรื่องเงินเยียวยาน้ำท่วมต้องมีการแก้ไขให้บ้านเรือนที่แช่น้ำเป็นระยะเวลานาน ต้องได้เงินช่วยเหลือมากกว่าหลักเกณฑ์เดิม
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติอะไรก็ตาม นายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ทั้งนายเศรษฐาทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องประชาชน แต่ยังไม่เห็นนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่ จึงเรียกร้องให้นายกฯ อนุทิน ลงพื้นที่ดูปัญหาด้วยตาจริง ไม่อยากให้ฟังแต่รายงานของข้าราชการ รวมถึงการโยนปัญหาความรับผิดชอบไปมาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล 2 กระทรวง อยากให้นายกฯ อนุทินสั่งการให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นเอกภาพ ปรับวิธีการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน
“เราทำงานอย่างหนักใกล้ชิดประชาชน รับฟังปัญหาเพื่อแก้ไขปัญหากับพี่น้องประชาชน พรรคเพื่อไทยไม่ทิ้งประชาชน ขอส่งกำลังใจให้กับพี่น้องทุกคน”นายจุลพันธ์ กล่าว
1) จุลพันธ์ เริ่มต้นบทบาทการเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่” ด้วยวาทกรรม “ปากพล่อย เขาคงลืมไปว่า สมัยนางสาวแพทองธาร หัวหน้าพรรคคนเก่าเป็นนายกฯ ก็เคยถูกตั้งคำถามเรื่องไม่ลงพื้นที่หลายครั้ง และเธอก็ตอบกับประชาชนว่า
“(1 ธ.ค.2567) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เป็นประธานเปิดงาน “ปรับ ฟื้น คืนสุข เมืองล้านนา” เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และส่งมอบมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อให้ประชาชน ณ ด่านศุลกากรแม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง และที่นี่กลับมาสดชื่นและคึกคักอีกครั้ง การลงพื้นที่ในวันนี้ มารับฟังปัญหาของประชาชน แม้วันนี้มีปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ มีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายคนลงพื้นที่ ซึ่งจะมีมาตรการต่างๆ ในการช่วยเหลือเช่นเดียวกับภาคเหนือ เนื่องจากปัญหานี้เป็นปัญหาที่สร้างความลำบากให้กับประชาชน และกระทบกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ”
ถ้าตรรกะเรื่อง “แบ่งงานกันทำแบบแพทองธารใช้ได้ จุลพันธ์ก็ไม่ควรปากพล่อยกับรัฐบาลปัจจุบัน เพราะนายอนุทิน ชาญวีรกูล ทำเรื่องค้าข้าว เจรจากับต่างประเทศ และแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า การเอาเวลาไปเปิดงานแบบแพทองธาร ทำ ในเวลาเดียวกันก็มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายภราดร ปริศนานันทกุล ทำงานแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่อย่างแข็งขันแบบ “เกาะติดพื้นที่ 24 ชั่วโมง”
2) นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทยจึงโพสต์เฟซบุ๊กว่า
วันนี้ชาวอ่างทองได้รับเกียรติจากท่านหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมาเยี่ยมลงพื้นที่น้ำท่วมในอ่างทอง
ขอบคุณในน้ำใจที่มาเยี่ยม แต่ท่านอาจจะไม่ทราบข้อมูลข้อเท็จจริง คนใกล้ชิด คนร่วมคณะก็อาจจะให้ข้อมูลท่านคลาดเคลื่อน จึงมีข่าวว่าท่านเรียกหาให้ท่านนายกฯอนุทิน ลงพื้นที่เยี่ยมน้ำท่วมบ้าง
อยากใช้พื้นที่ตรงนี้บอกว่า ท่านนายกฯลงมาตรวจสถานการณ์น้ำท่วมก่อนพวกท่านเสียอีกครับ มาตั้งแต่เพิ่งดำรงตำแหน่งนายกฯใหม่ๆ พร้อมกำลังใจให้ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ และได้มอบหมายสั่งการให้รัฐมนตรีท่านอื่นมาส่งกำลังใจเพิ่มอีกด้วย
ทำสงครามกับน้ำท่วมก็หนักอยู่แล้ว อย่าต้องมาเจอกับสงครามน้ำลายอีกเลยครับ มันไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไร
3) ตามซ้ำด้วย นายภราดร ปริศนานันทกุล ว่า...
“ท่านมาเยี่ยม คนอ่างทองก็ดีใจ พวกผมขอบคุณในน้ำใจพี่ แต่... อย่าไปพูดความเท็จถึงคนอื่นแบบมั่วๆเลย พวกผมต่อสู้กับน้ำก็เหนื่อยพอแรงแล้ว เป็นใหญ่เป็นโตเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว ทำงานด้วยมือเถอะครับพี่ อย่าทำด้วยปากเลย”
4) จุลพันธ์ ควรทำการเมืองแบบใหม่ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ไม่ใช่ย่ำและย้ำกับการเมือง “ปากโสโครก” โดยดูแบบอย่างจากหัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ที่กล่าวถึงปัญหาน้ำท่วมและการแก้ไขว่า...
“...ถ้าใช้งบเป็น “แสนล้าน” แต่น้ำยังท่วมเหมือนเดิม หยุดทำ แล้วเก็บงบไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม?
ปี 2554 ประเทศไทยเจอกับน้ำท่วมใหญ่ ผ่านไป 14 ปี ใช้งบแก้ปัญหาไปนับแสนล้าน สุดท้าย น้ำยังท่วมเหมือนเดิม งบแสนล้านละลายไปกับอะไรกัน ?
ปี 2554 ประเทศไทยเจอน้ำท่วมใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
จากนั้นในปี 2555 เราใช้งบประมาณกว่า 120,000 ล้านบาทเพื่อเยียวยา และแก้ปัญหาน้ำทั้งระบบ และใช้งบประมาณในการป้องกัน และแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งเพิ่มขึ้นมาตลอดทุกปี
แต่ 14 ปีผ่านไป วันนี้ชาวบ้านทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เจอน้ำท่วม “เหมือนเดิม”
จะบอกว่า “ไม่ทำอะไรเลย” ก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าไม่ทำเลย งบคงเหลือมากมายกองเป็นภูเขาเลากา แต่ที่ผ่านมาเรา “ทำ“ มากมาย “หลายร้อยหลายพันโครงการ” ใช้งบประมาณไปมากมาย แต่สุดท้าย ชาวบ้านต้อง” เตรียมขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูง“ เหมือนเดิม..
ต้องตั้งคำถามดังๆ แล้วครับว่าประเทศไทยใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาน้ำอย่าง “คุ้มค่า” หรือไม่?
“ไม่ต้องห่วง” เลยว่าเราจะไม่มีงบพอที่จะลงทุนในโครงการแก้ปัญหาน้ำด้วย “หลักวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย” เพราะที่ผ่านมา เราได้ “ละลายเงิน” ลงแม่น้ำไปมหาศาล แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย!
ถึงเวลาปฏิรูประบบจัดการน้ำแห่งชาติอย่างจริงจังแล้วครับ เริ่มต้นที่ว่า ถ้าเรามอง “น้ำ” ด้วยมุมมองใหม่ไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ แต่คือ “บททดสอบความสามารถของรัฐ”
“พรรคไทยก้าวใหม่” ขอเสนอสิ่งที่เราต้องทำ “รอไม่ได้”
1. เริ่มโครงการ “สร้างประตูน้ำกันน้ำทะเลหนุน” (Sea Barrier System) แบบ “เนเธอร์แลนด์” เวนิส “อิตาลี” หรือแม้แต่ “สิงคโปร์” ที่ทำสำเร็จมาแล้ว เพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุน “เจ้าพระยา” รองรับภาวะโลกร้อน และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น แต่วันนี้ยังไม่ได้เริ่ม “ศึกษาและออกแบบ” เลย รอไม่ได้แล้วครับ
2. “บูรณาการผังเมือง + ระบบน้ำ” (Smart Water + Smart City)
ผังเมืองต้องไม่ขวางทางน้ำ เมืองต้องระบายน้ำได้จริงไม่ใช่อยากทำนิคมอุตสาหกรรมก็ทำ อยากทำบ้านจัดสรรก็ทำ อยากทำสนามกอล์ฟก็ทำ ทำโดยไปขวางทางน้ำ
3. ตั้ง “กองทุนจัดการน้ำแห่งชาติ”
บริหารโปร่งใส ตรวจสอบได้ ลงทุนเพื่อ “ป้องกันก่อนเกิดปัญหา” ไม่ใช่ แล้งก็เบิกด่วน ท่วมก็เบิกด่วน สุดท้ายละลายหายไป ไม่ได้อะไรยั่งยืน
4. “ใช้ AI และ Big Data บริหารน้ำทั้งระบบ”
เทคโนโลยี AI พยากรณ์ได้ล่วงหน้า รู้ว่าตรงไหน เมื่อไหร่ “เสี่ยงจม” บริหารเขื่อนแบบเรียลไทม์ไม่ใช่“รู้ตอนท่วม แล้วค่อยประกาศเตือน” หรือมา “เร่งระบายน้ำ”ในเขื่อนในเวลาที่ระดับน้ำวิกฤตไปแล้ว ชาวบ้านจมสาหัส อย่างที่เป็นอยู่วันนี้ไง เศร้า...
ทั้งหมดนี้ ประเทศไทยมีงบประมาณ “เพียงพอ” ที่จะทำได้ครับ ถ้าเทียบกับเงินที่ใช้แก้ปัญหาแล้วละลายหายไปทุกปี
น้ำท่วมไม่ใช่เรื่องเวรกรรมแต่มันคือ “ระบบบริหาร” ที่เราต้องกล้าปรับใหม่ทั้งชุด ไม่ใช่ปล่อยให้ชาวบ้านลอยคอรอ “โชคดี”เผื่อว่าน้ำจะท่วมไม่มากและลดเร็วกว่าปีก่อน แล้วปีหน้าค่อยมาวัดดวงชะตากันอีกทีว่าจะรอดหรือจะล่ม
คนไทยต้อง “เลิกทน” กับเรื่องแบบนี้อีกต่อไปแล้วครับ / สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่”
สรุป : ต้องถามพี่น้องประชาชนว่า เอือมระอากับการเมืองน้ำลายโสโครก แล้วขับนักการเมืองโสโครกออกจากระบบ หันไปสนับสนุนนักการเมืองที่มุ่ง “ทำงานแก้ปัญหา” ไม่เสียเวลากับการ “เล่นการเมืองบนความทุกข์” ของประชาชนแล้วหรือยัง?
จิตกร บุษบา

ภท.ตั้ง‘เอกนัฏ’ หัวหน้าทีมกทม. มือปราบทุนเทา ลุยสู้ศึกเลือกตั้ง
จับสาวไทยเจ้าแม่ปอยเปต สมคบแก๊งคอลฯตุ๋น50ล้าน
กราบถวายบังคมพระบรมศพ พระพ้นปีหลวง ปชช.สำนึกพระมหากรุณาธิคุณ
‘มิวสิค–ปลายฟ้า’ เปิดชีวิตที่ต้องสู้กับทั้งโรคซึมเศร้า และความคาดหวังของวงการบันเทิง
‘เก้า-เจนเย่’ เลิฟซีน ละมุนขั้นสุด เคมีการแสดงทะลุบาร์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี