วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เป็นจังหวะทางการเมืองที่ไม่ธรรมดา และน่าจับตามองทีเดียว หลังจากนายอนุทินชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ชิงประกาศเปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทย ประกอบด้วย 1.ตัวของนายอนุทินเอง2.นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง และ 3.นางศุภจีสุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์
โบราณว่าไว้จะตีเหล็กต้องตีตอนร้อนๆเช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทยช่วงนี้ กำลังไล่เก็บแต้มอย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัสและการเจรจาขายสินค้าให้ต่างประเทศ รวมถึงการหาทางเปิดตลาดใหม่ๆ ที่สำคัญคือทั้งนายเอกนิติ และนางศุภจีนั้น แสดงฝีมือให้เห็นแล้วว่า ทำงานแบบมืออาชีพนั้นเป็นอย่างไร แตกต่างจากนักการเมืองอาชีพแค่ไหน
ภายใต้เงื่อนไข 4 เดือนยุบสภา จะว่าไปแล้วจุดขายของรัฐบาลนายอนุทิน ไม่ใช่เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อตกลงใน MOA กับพรรคประชาชน แต่เป็น 2 ปัญหาใหญ่เฉพาะหน้าคือ การแก้ไขปัญหาขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา และปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามภาษีทรัมป์ และปัญหาปากท้องชาวบ้าน
ผ่านมา 2 เดือนเศษ แม้ปัญหาไทย-กัมพูชายังคาราคาซัง แต่ด้านเศรษฐกิจนั้น ทั้งนายเอกนิติ และนางศุภจี สามารถสร้างข่าวดีหลายเรื่อง ได้รับเสียงชื่นชมด้านความขยันและวิสัยทัศน์การทำงาน จึงกลายเป็นจุดแข็งรัฐบาล ฉะนั้นเมื่อถูกยกระดับวางไว้บนตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีสำหรับการสู้ศึกเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ จึงเป็นเรื่องลงตัวถูกที่ถูกเวลา
ขณะเดียวกันในแง่การเมือง การเปิดตัวครั้งนี้ ก็ทำได้ถูกจังหวะพอดีกับกระแสและสถานการณ์ทางการเมือง คือในประเด็นเรื่องกระแสผู้นำคนใหม่นั้น ต้องยอมรับเวลานี้สำหรับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ยังไม่มีใครเหนือล้ำกว่าใคร แม้แต่โพลสำนักไหนๆ ก็ยังบอกตรงกันว่ายังหาคนที่เหมาะสมมานั่งไม่ได้
เมื่อปรากฏชื่อของนายเอกนิติ และนางศุภจีทำให้เกิดภาพลักษณ์ทีมบริหารประเทศของพรรคภูมิใจไทย ถูกยกระดับขึ้นทันตา ณ วันนี้ ได้ทั้งความสดและใหม่ จึงดูโดดเด่นกว่าใคร ที่สำคัญคือเปิดตัวในจังหวะพอดีเหมือนขยี้ซ้ำคู่แข่งอย่างพรรคเพื่อไทย ที่กำลังอยู่ในช่วงวิกฤตศรัทธาและความล่มสลายของระบอบทักษิณ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีแม้กระทั่งตัวแคนดิเดต
ส่วนขั้วพรรคประชาชน เอาเข้าจริงกระแสก็ไม่ได้ปังถึงขนาดจะนอนมาในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ ปัจจัยหลักๆ น่าจะมาจากโหวตนายกฯทำให้เสียแนวร่วมไปส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าสุดท้ายจะได้แก้รัฐธรรมนูญ หรือมาส่งให้พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลอีกสมัย เรื่องประสบการณ์ความรู้ความสามารถ และความไม่ไว้วางใจเรื่องแนวคิดเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ก็ยังอยู่ในกระแสคำถาม
แต่ก็ต้องยอมรับว่า พรรคประชาชนเองมีจุดแข็งและจุดขายที่ชัดเจนสำหรับคนรุ่นใหม่-ทางเลือกใหม่อยู่เสมอ โดยมีแผนที่จะเปิดตัวคณะรัฐมนตรีเงาก่อนเลือกตั้ง ดึงมืออาชีพเข้ามาเสริมทัพหวังเรียกความเชื่อมั่นเช่นกัน ดังนั้นเมื่อพรรคภูมิใจไทย ชิงความได้เปรียบเปิด2 แคนดิเดตระดับแม่เหล็กไปก่อน จึงถือว่ารู้ทางมวย และเป็นทางเลือกที่ดีให้กับคนไทยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญคือ เท่ากับว่า นายอนุทินได้ส่งสัญญาณพร้อมเลือกตั้งแล้ว ปรับเกมรุก-รับมือความเสี่ยงทางการเมืองไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าระหว่างทางจำเป็นต้องยุบสภาก่อนหรือไม่ก็ตาม พรรค
ภูมิใจไทยย่อมมีตัวเลือกและตัวเล่นทางการเมืองแบบไม่อายใคร ขึ้นอยู่แต่ละสถานการณ์ต่อจากนี้ไปที่จะหยิบมาใช้ว่าจะให้ใครเป็นแคนดิเดตอันดับ 1-2-3 นี่คือความเฉียบคมของคน
คิดเกม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี