วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กองทัพไทยปฏิบัติการทางทหารตอบโต้เขมรรอบนี้เป็นยุทธการถูกที่ถูกเวลาทำให้รัฐบาลสามารถสลัดพันธะกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ฉีกหน้ากากอันวาร์ แล้วเดินหน้าปราบสแกมเมอร์อย่างจริงจัง
ต้องยอมรับความจริงว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในปี 2568 เริ่มจากสองตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ไทย-กัมพูชาขัดกันเรื่องผลประโยชน์ไม่ลงตัว จนบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเมื่อถึงจุดที่สหายไทย-กัมพูชาสำเหนียกว่า ความหายนะจะมาถึง ทั้งสองฝ่ายจึงได้เรียกหาสหรัฐอเมริกาเข้ามาแทรกแซง
คือ เมื่อกองทัพไทยตอบโต้กัมพูชาอย่างรุนแรงเฉียบขาดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาสำเหนียกว่าขืนปะทะต่อไปกัมพูชาต้องล่มสลาย ตระกูลฮุน ตัวร้ายกัมพูชา จึงสมคบกับสหายในประเทศไทยบอกนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ให้ใช้ฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียน เป็นคนกลางเจรจาหยุดยิง
รายงานไม่เป็นทางการระบุว่า ไส้ศึกในไทยเป็นผู้แนะนำนายอันวาร์ให้ดึงสหรัฐฯเข้ามาแทรกแซง โดยใช้มาตรการภาษีข่มขู่ฝ่ายไทยให้หยุดยิง พูดง่ายๆ คือ ไส้ศึกในประเทศไทยสมคบกับฮุนเซนขอให้อันวาร์ เชิญสหรัฐเข้าแทรกแซง และด้วยแผนการชั่วร้ายที่สมคบกัน ทำให้กองทัพไทยต้องจำใจหยุดยิงเมื่อเวลา 00.00 น.ของวันที่ 28 กรกฎาคม
มีคำถามว่า ปธน.ทรัมป์ ทำไมเข้าข้างกัมพูชาทั้งๆ ที่รู้ว่ากัมพูชาเป็นแหล่งสแกมเมอร์ใหญ่ที่สุดในเอเชีย หากติดตามข่าวรอบด้านจะพบว่าสองมหาอำนาจจีนกับอเมริกา เล่นแรงขนาดไหนที่ใช้กัมพูชา เป็นเบี้ยบนกระดานความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเมื่อ 18 พฤศจิกายน ว่า จีนยื่นหนังสือเตือนเป็นทางการถึง “ความกังวลอย่างยิ่งของปักกิ่ง” ที่มาเลเซียกับกัมพูชาลงนามผูกพันทางการค้ากับสหรัฐเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์มาเลเซียอ่านหนังสือเตือนของปักกิ่งให้บลูมเบิร์กฟัง ซึ่งบางตอน ระบุว่า “สารัตถะที่จีนกังวลอย่างยิ่งคือข้อผูกพันที่สหรัฐอเมริกากำหนดให้มาเลเซียกับกัมพูชา ยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าด้านกลาโหมและความมั่นคงกับวอชิงตัน รวมทั้งกีดกันไม่ให้ประเทศอื่น (จีน) ใช้กัมพูชาและมาเลเซียเป็นทางผ่านสินค้าอ่อนไหวทางเทคโนโลยี”
“เราถือว่าข้อตกลงการค้าและข้อผูกพันด้านความมั่นคงของสองประเทศอาเซียนอาจทำให้ภูมิภาคอาเซียนเป็นศูนย์กลางเพิ่มความขัดแย้งระหว่างคู่แข่งมหาอำนาจ เราหวังว่ามาเลเซียพิจารณาได้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ของชาติในอนาคต ฯลฯ” ข้อความในหนังสือเตือนของจีนที่กระทรวงพาณิชย์มาเลเซีย อ่านให้ฟัง และกล่าวว่า หนังสือเตือนที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกันนี้
จีนได้ยื่นให้กัมพูชาเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนเช่นกัน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีเกียรติยศ ที่ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีเสด็จฯเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 13 ถึง 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเชื่อว่า นายอนุทิน ต้องระแคะระคายเรื่องจีนไม่พอใจผู้ใหญ่ของกัมพูชาอย่างรุนแรง
เมื่อกลับมาถึงประเทศไทยรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว จึงเดินหน้าเกมรุกทางการทูตต่อกัมพูชาและถึงจุดสำคัญเมื่อวันที่5 ธันวาคม นายสีหศักดิ์ กับทีมประเทศไทยฉีกหน้ากากกัมพูชาในที่ประชุมมนตรีอนุสัญญาออตตาวา หรืออนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ.1997 ในกรุงเจนีวา โดยนายสีหศักดิ์แถลงพร้อมแสดงหลักฐานและฉายวีดีโอให้เห็นว่าทหารกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวาโดยการลอบวางระเบิดสังหารบุคคลทำร้ายทหารไทยขาขาดไปแล้ว 8 นาย
การเปิดเกมรุกทางการทูตครั้งประวัติศาสตร์ทำให้สหรัฐและมาเลเซียผู้ถือหางกัมพูชา เสียหน้า ส่วน ฮุนเซนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เรื่อง ที่ถูกฉีกหน้ากากในเจนีวา และสองวันก่อนหน้าวันที่ 3 ธันวาคม คณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงินยึดและอายัดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ “นายยิม เลียก เบน สมิธ และ ก๊ก อาน มูลค่ารวมกัน 10,157 ล้านบาท ซึ่งทั้งสามรายเป็นคนสนิทฮุนเซน
สภาวะจนตรอกถูกบีบจากทุกด้านผลักดันให้ฮุนเซน สั่งการให้ทหารเขมรแดงตามแนวชายแดนยิงใส่ทหารไทยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจสแกมเมอร์ในกัมพูชา และระบายความแค้นที่ถูกฉีกหน้ากากในเจนีวา
แต่ความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซน เข้าทางกองทัพไทย ที่กำหนดแผนการทวงแผ่นดินคืนอย่างรอบคอบ จะเห็นว่ากองทัพไทยรับมือกับความเกเรของกัมพูชาด้วยยุทธศาสตร์เหนือชั้นกว่า
กองทัพไทยรู้ว่าทหารกัมพูชามีเป้าหมายทำลายพลเรือนไทย เมื่อทหารเขมรยิงปืนเล็กและปืนครกใส่ทหารไทยบาดเจ็บสองนาย กองทัพภาค 2 ไม่ตอบโต้รุนแรงทันที
กองทัพ ทนฟังเสียงตำหนิ วิจารณ์จากคนไทยใจร้อนอยู่หลายชั่วโมง จนแน่ใจว่าพลเรือนไทยนับแสนรายได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย ตอนใกล้รุ่งวันที่ 8 ธันวาคม ถึงส่ง F-16 ออกไปทิ้งไข่ใส่กาสิโนช่องอานม้าที่กัมพูชาแปลงเป็นฐานปฏิบัติการโดรน ตามมาด้วยปืนใหญ่ถล่มที่มั่นทหารกัมพูชาและโดรนติดระเบิดทิ้งใส่ฐานทหารกัมพูชาใกล้ชายแดน
ในวันแรกการปะทะกองทัพภาค 2 สามารถสถาปนาความมั่นคงช่องอานม้า ปราสาทคนา และปราสาทตาควายได้
ในเวลาเดียวกันกองทัพภาคที่ 1ปฏิบัติการยึดคืนหมู่บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจานในจังหวัดสระแก้วได้สำเร็จ ในวันเดียวกัน ในขณะที่กัมพูชาตอบโต้เบาบางมากหากเปรียบเทียบกับการปะทะระหว่าง 24 ถึง 28 กรกฎาคม ที่ผ่านแสดงให้เห็นว่าสรรพาวุธกัมพูชากำลังร่อยหรอเต็มที
เจ้าเล่ห์ฮุนเซนจึงหันมาเล่นบทผู้รักสันติภาพเรียกร้องนานาชาติ กดดันกองทัพไทยหยุดรุกรานกัมพูชาฝ่ายเดียว ฮุนเซนถึงกับขอให้ทหารเขมรอดทนอดกลั้น และปลุกระดมความรักชาติในหมู่ประชาชน
สถานการณ์มาถึงจุดนี้ พูดได้ว่ากองทัพไทยปฏิบัติการทางทหารถูกจังหวะเวลา เพื่อขจัดภัยกัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปพร้อมๆกับรัฐบาลสามารถสลัดพันธะกรณีส่วนนี้กับสหรัฐอเมริกา และฉีกหน้านายอันวาร์ ในเวลาเดียวกัน
หลังจากประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาตินายอนุทินแถลงว่า “ครั้งนี้ชัดเจนแล้วว่าการตอบโต้ของเราไม่ใช่การตอบโต้เพื่อส่งสัญญาใดๆ แต่ทำให้เห็นว่าเขาไม่ควรจะคุกคามอธิปไตยของประเทศไทย..ดังนั้นการเจรจาก็คงไม่มีแล้ว จากนี้ไปกัมพูชาถ้าจะหยุดสู้รบก็ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด” นายอนุทินกล่าว
เมื่อถามว่าเป็นการฉีกปฏิญญาร่วมเลยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “ไม่มีแล้วครับจำไม่ได้แล้ว” ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งแต่เกิดเหตุมาได้คุยกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่าไม่คุย ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งใช่หรือไม่ นายอนุทินระบุว่า นี่เป็นเรื่องของประเทศไทยกับประเทศคู่กรณี และไม่กังวลว่าจะส่งผลต่อการเจรจาภาษี
เมื่อถามถึงกรณีที่นายอันวาร์ โพสต์ว่าจะเป็นตัวกลางการเจรจาอีกครั้งนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า “ไม่ได้โพสต์ให้ ผม..ถ้าจะบอกให้ประเทศไทยทำอะไร ผมขอวิงวอนว่า คนที่เกี่ยวข้องคนที่เป็นพยาน ควรที่จะไปพูดกับคนที่รุกรานประเทศไทยให้หยุดการกระทำเช่นนั้นเสียก่อน ไม่ใช่มาบอกให้ประเทศไทยเราต้องอดทนต่อไป เราดำเนินการอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ มันเลยเวลานั้นมาแล้ว ถ้าอยากจะหยุดก็ไปบอกคนที่รุกรานเราว่าให้หยุด” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติพูดชัดถ้อยชัดคำว่า ไม่ต้องชี้แจงทรัมป์และนายอันวาร์ เนื่องจากว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งของไทยกับ
คู่กรณี ซึ่งข้ามขั้นตอนปฏิญญาที่ทรัมป์มาเป็นสักขีพยานไปแล้ว ที่สำคัญนายอนุทินเน้นว่าปฏิบัติการทหารของไทยไม่เกี่ยวกับการเจรจาภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์
จึงพูดได้ว่ารัฐบาลไทยกล้าหาญและทำถูกที่ถูกเวลาที่สลัดพันธะกับทรัมป์ (ประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา) ส่วนนายอันวาร์ ที่อาจนำความหายนะมาสู่มาเลเซีย กัมพูชาและอาเซียนโดยรวม เพียงเพื่อให้ตัวเองได้หน้าที่สามารถทำให้ ทรัมป์ มาเต้นรำตามเสียงปี่เสียงกลองของมาเลเซียได้ นายอันวาร์หมดราคาตั้งแต่ถูกจีนหักหน้าในที่ประชุมเอเปกในเกาหลีใต้
นายอันวาร์จะหมดวาระประธานหมุนเวียนอาเซียนอีกไม่กี่วันข้างหน้า นายอนุทินทำถูกจังหวะเวลาที่ไม่ยอมให้นายอันวาร์เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยอีกต่อไป และ
จะดีกว่านั้นหากรัฐบาลไทยไล่ผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่นำโดยทูตทหารมาเลเซียออกไปพร้อมๆ กับการหมดวาระประธานอาเซียนของนายอันวาร์
ส่วนไทย-กัมพูชาที่เกิดปะทะกันรอบใหม่จะยาวนานแค่ไหนกัมพูชาย่อยยับอย่างไรขึ้นอยู่กับกองทัพไทย โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องให้มหาอำนาจมาชี้นิ้วสั่งการให้ทำนั่นโน่นนี้ ตามที่มหาอำนาจต้องการ ประเทศไทยมีอธิปไตยเรามีวุฒิภาวะและกองทัพไทยมีศักยภาพพอปกป้องอธิปไตยของชาติได้
สิ่งที่สหรัฐต้องทำหลังจากนี้คือร่วมมือกับประเทศไทยอย่างจริงจังในการปราบปรามกวาดล้างสแกมเมอร์ในกัมพูชา ไม่ใช่มาเอาหน้าเฉพาะเวลาที่ลงนามปฏิญญาสันติภาพจอมปลอม
สุทิน วรรณบวร

ปชป. ร่อนแถลงการณ์ ซัด พรรคส้ม ออกลูกงอแงหวังประโยชน์แก้ รธน. ยอมเอา ‘อธิปไตยชาติ’ มาเสี่ยง
ยุบสภา อนุทิน ยันแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน
คอนเฟิร์ม! นายกฯอนุทิน ยื่นยุบสภาแล้ว เผยต่อรอง ปชน. ชี้ สั่ง สว.ไม่ได้ ไม่โหวตตัดอำนาจ
สะพัด อนุทิน ยื่นยุบสภาคาไว้แล้ว ตั้งแต่เย็นวันนี้ ตัดหน้า ‘ปชน.’ ล่าชื่อซักฟอกรัฐบาล
สื่อนอกตีข่าว เหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือน2ประเทศอพยพแล้วครึ่งล้านคน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี