การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติงานในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีชื่อ นางมยุระ ช่วงโชติ บุตรสาวของ นายมีชัย ฤชุพันธ์ สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้รับการแต่งตั้งเป็น รองเลขาธิการฯ นายมีชัย เป็นที่กล่าวถึงและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก ทั้งจากนักวิชาการและนักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองทั้งฟากฝั่งพรรคเพื่อไทย และฟากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์
ข้อกล่าวหาที่มีต่อนายมีชัย มี 2 เรื่อง หนึ่งคือสำนึกด้านความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองที่กำลังอยู่ในระยะของการปฏิรูปไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น อีกหนึ่งคือผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากรองเลขาธิการประจำผู้ดำรงตำแหน่งใน คสช. มีค่าตอบแทนเป็นรายเดือน เทียบเท่ารองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง คือเดือนละ 47,500 บาท ตามประกาศ คสช.ที่ 93/2557
ต่อข้อกล่าวหาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวข้างต้น นายมีชัยชี้แจงว่า ตนมีความจำเป็นต้องตั้งบุคคลที่ไว้วางใจขึ้นมาทำหน้าที่ เพราะงานดังกล่าวมีเรื่องที่ต้องรักษาความลับของ คสช. ที่ไม่สามารถให้คนอื่นล่วงรู้ได้ อีกทั้งตำแหน่งนี้ต้องทำหน้าที่ตลอด ไม่มีเวลาชัดเจน ออฟฟิศก็ไม่มี จะให้คนอื่นมาเป็นก็ไม่ได้ ทั้งตนอยู่นอกราชการ ไม่ใช่คนในราชการ ที่จะขอยืมบุคคลใดเข้าทำหน้าที่ดังกล่าวได้ นายมีชัยยังปฏิเสธเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และยืนยันว่าการแต่งตั้งลูกสาวของตนครั้งนี้ไม่ได้มีกฎหมายห้าม
นายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นนักกฎหมายคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของประเทศ เคยดำรงตำแหน่งสำคัญทั้งในฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร มีบทบาททำงานรับใช้ชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด มีผู้ใต้บังคับบัญชาและมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วประเทศ
น่าเสียดายที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ขึ้น และคำชี้แจงของนายมีชัยก็มิได้ช่วยให้ภาพของนายมีชัยดูดีขึ้นแต่อย่างใด
เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น คงไม่ใช่ประเด็นที่จะยกมากล่าวโจมตี เพราะคนอย่างนายมีชัยและครอบครัว มิได้ยากจนข้นแค้นจนต้องส่งวงศาคณาญาติมากินเงินเดือนหลวง อีกทั้งเงินแค่เดือนละ 47,000 บาทนั้น หากนายมีชัยให้ลูกสาวไปทำธุรกิจอย่างอื่น คงได้รับผลตอบแทนมากกว่านี้มาก
ประเด็นที่น่าคิดคือ คนอย่างนายมีชัยซึ่งทำงานมากมายมาถึงขนาดนี้ มีผู้ใต้บังคับบัญชาและลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วประเทศ จะไม่มีใครสักคนที่นายมีชัยพอจะไว้เนื้อเชื่อใจให้มาทำงานช่วยเหลือตนเลยเชียวหรือ?
ที่สำคัญคือ นายมีชัยไม่คิดล่วงหน้าเลยหรือว่า การแต่งตั้งคนในครอบครัวมากินตำแหน่งทางการเมืองแบบนี้ จะสวนทางกับความรู้สึกของสังคมที่อยากเห็นการปฏิรูปการเมือง
ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ คำชี้แจงของนายมีชัยที่ว่า การแต่งตั้งลูกสาวเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองครั้งนี้ ไม่มีอะไรห้าม
ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อไม่มีกฎหมายห้าม จะทำอย่างไรก็ทำได้
คำชี้แจงของนายมีชัยท่อนนี้ ทำให้หวนคิดไปถึงคำชี้แจงของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษา คสช. เมื่อเดือนกันยายน ปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ลูกชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายนายกรัฐมนตรี ใช้บ้านพักในค่ายทหารจดทะเบียนตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างว่า “พูดกันตรงๆ นะ ไม่มีอะไรห้ามเลย ลองคิดว่าเป็นบ้านเช่าก็ได้ คุณไปอาศัยเขาอยู่ และขอบ้านนั้นเป็นที่ตั้งบริษัท มันก็สามารถทำได้ และถามกลับว่าถ้ามันเป็นของข้าราชการล่ะ มันก็ไม่มีปัญหานี่”
ในพระธรรมวินัย มีคำว่า “โลกวัชชะ” มีความหมายหลายประการ แต่ความหมายหนึ่งหมายถึง การกระทำที่แม้ไม่เป็นความผิดตามพระวินัย แต่เป็นข้อเสียหายที่ชาวโลกติเตียนว่าไม่เหมาะสมกับสมณะ
ในทางสังคมและทางการเมือง การกระทำที่แม้ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย แต่เป็นข้อเสียหายที่คนในสังคมติเตียน เพราะเป็นการกระทำที่ไม่สมควร ไม่เหมาะสมก็เป็น โลกวัชชะ ด้วยเช่นกัน
ยิ่งถ้าเป็นนักกฎหมาย อาศัยองค์ความรู้ทางกฎหมายที่ตนเชี่ยวชำนาญ มากระทำในสิ่งที่เป็นโลกวัชชะ ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง และน่ากลัวยิ่งนัก
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี