วันที่เขียนต้นฉบับคอลัมน์นี้เป็นวันอีสเตอร์ แต่ปีนี้มีฮาเพราะตรงกับวันโกหกโลกคือเอพริลฟูลเดย์ ที่สื่อหลักๆต่างก็เกทับบลัฟแหลก งัดพาดหัวโกหกพกลมต่างๆ นานามาอำกันเล่นเลยถือโอกาสผ่อนคลายเว้นวรรคจากการเขียนเล่าเรื่องการเมืองในอเมริกาสักครั้ง
นาทีนี้ฤทธิ์น้ำลายของลุงทรัมป์เน่าเหม็นกระเด็นใส่กบาลชาวโลกจนหัวแฉะหมดแล้ว ทั้งๆที่เจ้าตัวเองก็โดนดาวโป๊ทรงโตแฉแหลกแถมอดีตนางแบบเพลย์บอยออกมาขอโทษสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่เคยแอบแซ่บกับสามี เล่นเอาเมลานีเบ้ปากมองบนแล้วหนีไปฟลอริด้า บ๊ะอะไรมันจะสุดติ่งกระดิ่งแมวขนาดนี้นะพี่ทรัมป์
แต่ที่มะริกันฮาที่สุดคงจะเป็นนโยบายน่ารักๆของเมียเฮียทรัมป์นี่แหละที่รณรงค์เรื่องการใช้คำหยาบกลั่นแกล้งกันในไซเบอร์สเปซ เจ๊คะ..คือเจ๊ต้องบอกสามีเจ๊ก่อนเลยนะเพราะเฮียทรัมป์แกนัมเบอร์วันในเรื่องนี้เลยแหละ
แล้วยังเรื่องที่ลุงทรัมป์ออกมาตะโกนบอกโลกว่าเฮ้ย..ลุงจะไปหาอ้ายตี๋คิมล่ะนะ จากนั้นก็คุยโม้โอ้อวดเอาดีใส่ตัวมากมายสะบัดผมเป๋สีทองอร่ามไปมาแล้วยิ้มโชว์ฟันทุกซี่เหมือนพระเอกหนังฮอลลีวู้ด ทั้งๆที่ลุงแกเป็นแค่มาเฟียก้นซอยเท่านั้นเองส่วนพี่คิมคิ้วห้ามิติก็ทำหน้าซาลาเปาแบบไม่รู้ไม่ดูไม่แคร์แต่เผลอแป้บเดียวพี่ก็นั่งรถไฟไปหาเฮียสีที่เมืองจีน ไปแบบเงียบๆแต่ชาวโลกได้เห็นสองเฮียตี๋จับไม้จับมือกันอย่างชื่นมื่น
ในเมื่อวันนี้เป็นวันอีสเตอร์ เลยอยากเขียนเรื่องเบาๆเป็นการพักเบรคจากการเมืองอเมริกันไปด้วยในตัว เพราะวันนี้เป็นวันหยุดจริงๆแล้วเทศกาลนี้ไม่ได้ลามกจกเปรตเหมือนที่ตั้งชื่อให้น่าหวาดเสียวแก่บรรดากระทาชายใดๆ หรอกเทศกาลนี้ถือเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญเทศกาลหนึ่งในโลกตะวันตกเลยทีเดียว
ในอเมริกาหรือในหลายประเทศจะเรียกว่า “เทศกาลอีสเตอร์”ส่วนในโปแลนด์จะมีเทศกาลในเวลาที่ใกล้เคียงกันนี้ เรียกว่าวันดิงกิสเดย์โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันออกไปเล็กน้อยหรือแม้ในหมู่ชาวยิวก็มีการฉลองที่เรียกว่าพาสโอเวอร์โดยรวมแล้วเทศกาลนี้ถือเป็นวันครอบครัวอีกวันหนึ่งที่ทุกคนในครอบครัวจะมารวมตัวกินกินดื่มและเฉลิมฉลองร่วมกันเช่นเดียวกับวันคริสต์มาสและวันขอบคุณพระเจ้า
ในอเมริกานั้นมีคำกล่าวติดตลกว่าคนในครอบครัวจะมาเจอกันปีละสามหนคือ วันอีสเตอร์วันขอบคุณพระเจ้าและวันคริสต์มาสเพราะเป็นวันหยุดสำคัญที่มีการละเล่นและเฉลิมฉลองด้วยอาหารมื้อใหญ่ส่วนเด็กๆ ก็จะได้ตะกร้าของขวัญที่เรียกว่าตะกร้าอีสเตอร์ในนั้นจะบรรจุด้วยขนมซึ่งเป็นช้อคโกแลตรูปกระต่ายหรือไข่และของเล่นนานาชนิด จึงเป็นอีกวันหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอ
เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่สำคัญยิ่งในหลายศาสนาโดยเฉพาะศาสนาคริสต์ภายหลังศาสนาคริสต์นำความเชื่อของชาวเพเกินมาผสมเป็นหนึ่งเดียวกับเรื่องของคริสตศาสนาโดยกำหนดให้วันอีสเตอร์เป็นวันระลึกถึงวันที่ฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ และกำหนดให้ตรงกับวันอาทิตย์
คำว่า อีสเตอร์ นั้นมาจากคำว่า EOSTREซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิของพวกทูโทนิคอันเป็นเทพเจ้าของเยอรมันและเป็นเทพแห่งการฟื้นคืนชีพก่อนถึงช่วงใบไม้ผลินั้นเป็นฤดูหนาวซึ่งดินแดนครึ่งโลกจมอยู่ใต้หิมะมาหลายเดือน พอถึงฤดูใบไม้ผลิหิมะละลายต้นไม้เริ่มผลิใบอีกครั้งเป็นสัญญาณของการฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ฉะนั้นฤดูใบไม้ผลิจึงถูกนำมาเปรียบกับการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูด้วย
วันอีสเตอร์อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิคือระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายนแต่หากศึกษาความเป็นมาที่แท้จริงของเทศกาลนี้แล้วจะพบว่าเป็นเทศกาลที่พัฒนามาจากเทศกาล “ปัสกา” หรือพาสโอเวอร์ของยิวซึ่งเทศกาลปัสกานี้เป็นเทศกาลที่ชาวยิวระลึกถึงภาวะการหลุดพ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์นั่นเอง
สมัยก่อน คริสตจักรต่างๆจัดฉลองวันอีสเตอร์ในวันอาทิตย์ที่ไม่ตรงกัน จนถึงปี ค.ศ.325สภาไนเซียหรือสภาผู้นำคริสตจักรทั่วโลกได้ประชุมและมีมติให้กำหนดแน่นอนให้คริสตจักรทั่วโลกฉลองเทศกาลอีสเตอร์ให้ตรงกันโดยกำหนดวันอีสเตอร์คำนวนตามระบบจันทรคติ
ในสมัยก่อนการเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ของคริสเตียนนั้นไม่ตรงกันในแต่ละปี เหตุผลที่ทำให้การเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ในแต่ละปีไม่ตรงกันนั้นคงเป็นเหตุเพราะพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดนั่นเอง แต่ที่แน่ๆเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอาทิตย์เดียวกันกับอาทิตย์ที่ชาวยิวจะเฉลิมฉลองปัสกา ดังนั้นวีธีการคำนวนวันอีสเตอร์ของคริสเตียนจึงอิงกับการคำนวนวันเฉลิมฉลองเทศกาลปัสกาของชาวยิวเป็นหลัก
ในปี ค.ศ. 325จักรพรรดิคอนสแตนตินของอาณาจักรโรมันตัดสินว่าเทศกาลอีสเตอร์ควรต้องตรงกับวันอาทิตย์ เพราะพระเยซูถูกตรึงกางแขนวันวันศุกร์ดังนั้นหากพระองค์คืนชีพในอีกสองวันต่อมาจะต้องเป็นวันอาทิตย์
วันอีสเตอร์กำหนดไว้ว่าต้องตรงกับวันอาทิตย์นั้นจะต้องเป็นวันอาทิตย์แรกหลังพระจันทร์เต็มดวงในวัน Spring Equinoxซึ่งเป็นวันที่กลางวันเท่ากับกลางคืน อันตรงกับวันที่ 21 มีนาคม พูดง่ายๆคือจะต้องฉลองวันอีสเตอร์หลังจากวันที่ 21 มีนาคมและกำหนดฉลองอีสเตอร์จะอยู่ช่วงระหว่างวันที่ 21 มีค.-25 เมย.ของทุกปี
ขณะที่ศาสนาคริสต์แผ่ขยายออกไปทั่วทวีปยุโรปได้มีการผสานความเชื่อของชาวเพเกินบางอย่างเข้ากับความเชื่อของศาสนาคริสต์ด้วย เช่นการใช้คำว่าอีสเตอร์ (Easter)อาจจะมาจากชื่อเทพแห่งฤดูใบไม้ผลิและความอุดมสมบูรณ์นอกจากนี้ยังนำไปสู่ประเพณีการซ่อนไข่อีสเตอร์
กิจกรรมวันอีสเตอร์เริ่มจากการไปรวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อสวดมนต์พร้อมร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าทุกครอบครัวจะตกแต่งไข่เป็นลวดลายสีสันต่าง ๆ เพื่อนำมามอบให้แก่กันส่วนบางโบสถ์ก็จัดกิจกรรมและร่วมรับประทานอาหารรวมไปถึงจัดเกมสนุก ๆ ให้แต่ละครอบครัว โดยเฉพาะเด็กๆค้นหาไข่อีสเตอร์
สมัยก่อนจะนำไข่ต้มที่ระบายสีต่างๆไปซ่อนเอาไว้ในพุ่มไม้หรือกอหญ้าเพื่อให้เด็กๆ ค้นหาช่วงเวลาแบบนี้ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในวันอีสเตอร์ร่วมกันระยะหลังใช้ไข่พลาสติกที่ใส่ขนมเอาไว้ข้างใน เด็กๆก็จะพยายามตามล่าหาไข่อีสเตอร์ให้ได้มากที่สุดเพื่อสะสมขนมข้างในไข่นั้น เป็นการแข่งขันที่ไม่ได้เน้นแพ้หรือชนะแต่ใครหาไข่ได้มากที่สุดก็ได้ขนมเป็นรางวัล
ในอเมริกาประเพณีการคลำหาไข่อีสเตอร์หลากสีกลายเป็นประเพณีที่ได้รับความนิยมระดับประเทศ โดยเฉพาะในทำเนียบขาว ในปี ค.ศ. 1876สภาคองเกรสออกกฎห้ามเด็กๆเล่นการละเล่นนี้ในพื้นที่ของสภาดังนั้นประธานาธิบดี รัทเธอร์ฟอร์ด บี. เฮสจึงเปิดสนามหญ้าของทำเนียบขาวให้เด็กๆได้เข้ามาเล่นกันหลังจากนั้นประเพณีกลิ้งไข่อีสเตอร์ประจำทำเนียบขาวก็กลายเป็นประเพณีทำเนียบขาว โดยที่ประธานาธิบดีจะมาร่วมเล่นสนุกกับเด็กๆด้วยทุกปีอย่างสนุกสนาน
นอกจากเด็กๆ จะสนุกกับการหาไข่อีสเตอร์แล้ววันนี้ยังถือเป็นอีกวันที่ทุกคนในครอบครัวจะมารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารมื้อใหญ่ ในอเมริกามักจะอบแฮมเป็นหลัก
โดยรับประทานคู่กับสลัดหรือมันฝรั่งอบ เด็กๆ จะได้ตระกร้าของขวัญซึ่งภายในบรรจุขนมและของเล่นส่วนมากแล้วจะบรรจุของที่เกี่ยวกับเทศกาลอีสเตอร์ เช่นไข่หรือกระต่ายที่ทำมาจากช็อคโกแลตหรือขนมหวานที่เรียกว่าเจลลี่บีนรสต่างๆ เพราะมีรูปร่างเหมือนไข่
แม้ว่าเทศกาลอีสเตอร์จะเป็นวันแห่งความปีติที่ชาวคริสต์เฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูแต่ระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมานี้ทำให้ธรรมเนียมประเพณีใหม่ๆถูกผนวกเข้ามา บ้างเป็นประเพณีทางศาสนาและบ้างก็เป็นประเพณีเพื่อความสนุกสนานแต่อีสเตอร์ยังเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี