เมื่อเอ่ยถึงวิตามินดีมีน้อยคนที่ไม่เคยได้ยินว่าเป็นวิตามินที่ได้มาจากแสงแดด ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อหามารับประทานเพิ่มเหมือนวิตามินชนิดอื่นๆ และดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีมานี้การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับวิตามินดีไม่ได้หยุดนิ่งทำให้วงการแพทย์ในปัจจุบันมีความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของวิตามินดีเพิ่มขึ้นอย่างมาก วิตามินดีมีผลต่อการทำงานและการดำเนินโรคหลายชนิดของร่างกาย เช่น ภาวะสมองเสื่อม ภาวะซึมเศร้า ภูมิแพ้ หอบหืด หัวใจ ไต กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดกล้ามเนื้อ กระดูกโปร่งบาง และการหกล้มในผู้สูงอายุ เป็นต้น แต่สำหรับบทความนี้จะขอกล่าวถึงบทบาทของวิตามินดีต่อการทำงานของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อเท่านั้น ในด้านกระดูกนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าการมีระดับวิตามินดีที่เพียงพอจะส่งเสริมให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมมาเก็บไว้ที่กระดูกเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ดังนั้นวัยเด็กซึ่งเป็นวัยเสริมสร้างกระดูก พ่อแม่ควรส่งเสริมให้เด็กมีกิจกรรมกลางแจ้งโดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนักที่กระดูก เช่น วิ่งเล่น กระโดดโลดเต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมให้เด็กมีต้นทุนกระดูกที่แข็งแรง ไม่เปราะบาง ส่วนคนวัยทำงานจะช่วยเสริมสร้างกระดูกต่อเนื่องอย่างเต็มที่ การได้รับวิตามินดีที่เพียงพอย่อมทำให้กระดูกสามารถคงความหนาแน่นไว้ได้ชะลอการเกิดกระดูกโปร่งบางและพรุนตามมา โดยเฉพาะผู้หญิงหากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนกระดูกจะบางลงอย่างรวดเร็ว ถ้าต้นทุนความแข็งแรงของกระดูกไม่มากพอก็จะเกิดกระดูกโปร่งบางและพรุนก่อนวัยอันสมควร ส่วนวัยสูงอายุนั้นอาจเริ่มมีกระดูกโปร่งบางหรือพรุนอยู่แล้วการได้รับวิตามินดีที่เพียงพอจะช่วยชะลอการเกิดกระดูกพรุนและกระดูกหักตามมาได้ ในด้านกล้ามเนื้อ ปัจจุบันพบว่าที่กล้ามเนื้อของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เช่นกัน หากมีระดับวิตามินดีในเลือดเพียงพอ โดยผลจากการสังเคราะห์นั้นทำให้กล้ามเนื้อมีการสร้างโปรตีนมากขึ้นที่กล้ามเนื้อ ช่วยให้มีการซ่อมสร้าง หดตัวและคลายตัวดีขึ้น รวมทั้งเพิ่มกำลังและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ด้วยโดยเฉพาะกล้ามเนื้อขาส่วนต้นที่อยู่ใกล้ลำตัวซึ่งออกกำลังกายเพิ่มกำลังและความแข็งแรงได้ยาก การที่กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นในวัยเด็กย่อมทำให้สามารถออกแรงทำกิจกรรมต่างๆ ได้เต็มที่ ส่วนวัยผู้ใหญ่ก็จะมีความแข็งแรงทนทานมากขึ้นลดอาการเมื่อยล้าและปวดกล้ามเนื้อ ส่วนวัยสูงอายุจะได้ประโยชน์มากกว่าคนทุกวัยเพราะวัยสูงอายุเป็นวัยที่กำลังวังชาเสื่อมถอยเกิดการหกล้มง่าย การได้รับวิตามินดีจะช่วยให้กล้ามเนื้อมีกำลังความแข็งแรงเพิ่มขึ้น อีกทั้งป้องกันการหกล้มด้วย อย่างไรก็ตามการออกกำลังกายก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยเสมอ
แหล่งสำคัญของวิตามินดีเกิดจากการได้รับแสงแดดถึง 90%ผิวหนังจะดูดซึมแสงยูวีมาทำปฏิกิริยากับสารเคมีในชั้นหนังแท้ได้เป็นสารตั้งต้นของวิตามินดี ซึ่งยังไม่พร้อมที่จะช่วยดูดซึมแคลเซียมต้องไปเตรียมความพร้อมที่ตับและไตก่อนจึงสามารถมาช่วยดูดซึมแคลเซียมได้ วิตามินดีอีกประมาณ 10% ในร่างกายได้มาจากอาหาร เช่น เห็ด ไข่แดง ปลาทะเลน้ำลึก เป็นต้น ซึ่งเป็นอาหารที่คนบางส่วนเข้าถึงยากและต้องทานเป็นจำนวนมากจึงเพียงพอ บางประเทศที่มีการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์นมจำนวนมากจึงมีการเติมวิตามินดีลงไปด้วยเพื่อให้คนมีโอกาสได้รับวิตามินดีมากขึ้น การได้รับวิตามินดีจากแสงแดดให้ได้เต็มที่จะต้องอยู่กลางแจ้งเท่านั้น โดยให้ผิวที่ปราศจากครีมกันแดดโดนแดดมากที่สุด การอยู่ในรถหรือในตึกแล้วรับแดดผ่านกระจกจะไม่ได้รับวิตามินดี จะเห็นได้ว่าแสงแดดมีประโยชน์มากต่อร่างกายในแง่ของการสร้างวิตามินดี แต่ขัดกับลักษณะการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่พยายามหลีกเลี่ยงการออกแดด ใช้ครีมกันแดด กางร่ม เพื่อรักษาผิวให้ขาวเนียนดูดีไร้ริ้วรอยจากแสงแดด คนรุ่นใหม่เหล่านี้เมื่อทำการตรวจเลือดจึงพบว่ามีระดับวิตามินดีต่ำ นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคตับ ไตผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยก็มีความเสี่ยงต่อการมีระดับวิตามินดีต่ำเช่นเดียวกัน คนเหล่านี้มีความอ่อนแอจากโรคที่เป็นอยู่แล้ว หากได้รับแสงแดดมาสร้างวิตามินดีจะช่วยให้มีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งลดการเกิดกระดูกพรุน กระดูกหักซึ่งเป็นภัยเงียบที่ไม่รู้ตัว การได้รับวิตามินดีจากแสงแดดให้เพียงพอนั้น หากผิวหนังหลายส่วนทั้งใบหน้า แขน ขา ได้รับแสงแดดในช่วงเวลา 10-15 น. ประมาณ 5 นาทีถือว่าเพียงพอเนื่องจากเป็นช่วงที่รังสียูวีจากดวงอาทิตย์ส่องมายังโลกในปริมาณที่มากที่สุด หากมีส่วนของร่างกายที่โดนแดดตรงๆ ไม่มาก และไม่ใช่ช่วงเวลาดังกล่าวของวัน การรับแสงแดดก็ต้องใช้เวลานานขึ้นหากปรับการได้รับแสงแดดให้เหมาะกับความร้อนจากแดดและช่วงเวลาที่ทนได้ จึงอาจเป็นช่วงเวลาของแดดแรกและแดดสุดท้ายของวัน ช่วงละ10-15 นาที ก็จะเพียงพอสำหรับร่างกาย แสงแดดนั้นมีประโยชน์แต่ก็มีโทษเช่นเดียวกัน ชาวตะวันตกที่ชอบอาบแดดให้ผิวมีสีเข้มจะมีโอกาสพบมะเร็งผิวหนังมากกว่าชาวเอเชีย อย่างไรก็ตามการเป็นมะเร็งผิวหนังก็ขึ้นกับชนิดของผิวหนังของแต่ละเชื้อชาติและแต่ละคนด้วย การรับประทานวิตามินดีจึงเป็นอีกทางเลือกของคนที่ไม่ได้รับแสงแดด วิตามินดีมี 2 ชนิดคือวิตามินดี 2 ซึ่งสังเคราะห์จากพืชและนำมาทำเป็นยาบำรุงที่แพทย์จ่ายให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาล การรับประทานวิตามินดี 2 นั้น แพทย์จะแนะนำให้รับประทานเป็นรายสัปดาห์ เนื่องจากปริมาณวิตามินดีต่อเม็ดสูงจึงค่อยๆ ใช้เวลาดูดซึมเข้าร่างกาย อีกชนิดคือ วิตามินดี 3 สังเคราะห์จากสัตว์มักผสมอยู่ในยาบำรุงชนิดวิตามินรวมทั้งที่จำหน่ายทั่วไปและในโรงพยาบาล ปริมาณวิตามินดีที่ควรได้รับต่อวันนั้น จะคิดเทียบเท่ากับวิตามินดี 3 จำนวน 800 หน่วยสากล (international unit:IU)ต่อวัน แต่ยาบำรุงที่มีขายทั่วไปมักมีในปริมาณที่น้อยกว่านี้ ไม่แนะนำให้รับประทานยาบำรุงเหล่านั้นเพื่อให้ได้วิตามินดีที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเนื่องจากอาจได้รับวิตามินบางชนิดเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการแล้วเกิดอันตรายได้ การรับประทานวิตามินเสริมควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะปลอดภัยที่สุดจะเห็นได้ว่าวิตามินดีมีดีมากกว่าที่คิดหากใช้วิธีธรรมชาติ เลือกเวลาโดนแดดอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ เกิดความฟิตแอนด์เฟิร์มได้อย่างสบายกระเป๋าเลยล่ะค่ะ
รศ.พญ.ปิยะภัทร เดชพระธรรม
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี