ปัจจุบันพบว่าในประเทศไทยมีความชุกของผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน มีการศึกษาพบความชุกของผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมันในคนเอเชียถึงประมาณหนึ่งในสามของประชากรหรือร้อยละ 30 และพบความชุกจากการศึกษาในประเทศไทยถึงร้อยละ 25-67ผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมันจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงการเกิดตับแข็ง และมะเร็งตับ ดังนั้นถ้ามีความเสี่ยง เช่น มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 23 kg/m2 และมากกว่าหรือเท่ากับ 25 kg/m2ตามลำดับ)เป็นเบาหวาน ควรได้รับการตรวจหาโรคตับคั่งไขมัน และถ้าตรวจพบควรได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม
การปรับพฤติกรรมโดยเฉพาะการรับประทานอาหารถือเป็นการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมันทุกราย โดยผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนควรตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนัก โดยการลดน้ำหนักเพียงร้อยละ 3-5 ก็สามารถช่วยลดไขมันในตับได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีการอักเสบหรือมีพังผืดในตับ ควรตั้งเป้าหมายการลดน้ำหนักอย่างน้อยร้อยละ 7-10 โดยผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่มีพลังงานต่ำ และมีคุณค่าทางอาหารสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูง เช่น ของทอด ของมัน fast-food อาหารมื้อใหญ่ และการกินอาหารจุบจิบนอกมื้อ
สำหรับอาหารที่สามารถรับประทานได้ ได้แก่ ข้าวแป้งโดยเน้นที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปัง whole wheat เนื้อสัตว์โดยเลือกส่วนที่ไม่ติดมันไม่เอาหนัง โดยเน้นเป็นเนื้อปลา ไขมันควรเน้นรับประทานไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ไขมันจากพืช ยกเว้นน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว และไขมันจากปลา ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช อย่างไรก็ตาม ไม่ควรรับประทานมากเกินไปเนื่องจากจะทำให้อ้วนได้ มีการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟมากกว่า 3 แก้วต่อวัน อาจมีส่วนช่วยผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมันได้อย่างไรก็ตาม ควรเลี่ยงกาแฟที่มีการเติมน้ำตาลและครีมเทียม
สำหรับอาหารที่ควรเลี่ยงเนื่องจากทำให้ไขมันในตับเพิ่มขึ้น ได้แก่ น้ำตาล ทั้งน้ำตาลกลูโคส ซูโครส และฟรุกโตส ซึ่งพบในเครื่องดื่มรสหวานน้ำอัดลม ชาเขียว นมเปรี้ยว เครื่องดื่มชูกำลัง หรืออาจแฝงในอาหารต่างๆ เช่น พะโล้ ส้มตำ ควรเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน น้ำมันจากสัตว์ ยกเว้นปลา น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว การดื่มสุราถ้าไม่ดื่มอยู่แล้วไม่ควรดื่ม แต่ถ้าดื่มไม่ควรดื่มเกิน 2 ดื่มในผู้หญิง หรือ 3 ดื่มในผู้ชาย แต่ถ้าหยุดดื่มได้โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีพังผืดในตับหรือตับแข็งจะดีที่สุด นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสมุนไพร อาหารเสริมเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากสมุนไพรหรืออาหารเสริมบางอย่างอาจส่งผลให้ค่าตับแย่ลงได้
ทั้งนี้ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย โดยมีประโยชน์ทั้งการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (aerobic exercise) และการออกกำลังกายสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (strengthening exercise) โดยสรุปผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมันควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป โดยคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ ดัชนีมวลกายระหว่าง 18.5-22.9 kg/m2 ผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนควรลดน้ำหนัก ทั้งนี้เพื่อรักษาโรคตับคั่งไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด และลดโอกาสเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์นริศร ลักขณานุรักษ์
สาขาวิชาโภชนาการคลินิก ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี