การออกกำลังกาย ไม่ควรถูกจำกัดไว้ให้เฉพาะบุคคลทั่วไปเท่านั้น เพราะทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน หรือสถานภาพใดต่างก็ควรที่จะได้วิ่งหรือทำกิจกรรมต่างๆ อย่างเต็มกำลัง และมประสิทธิภาพเท่าที่พวกเขาต้องการ
ดังเช่น “วิ่งด้วยกัน ONE TWO THREE กรุงเทพมหานคร” เป็นงานวิ่งที่จัดขึ้นเพื่อให้คนพิการและคนปกติวิ่งด้วยกัน เกิดจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา สมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย บริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร จำกัด และบริษัท กล่องดินสอ จำกัด ภายใต้การสนับสนุนของ บมจ.กรุงไทย-แอคซ่า ประกันภัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,800 คน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้พิการทุกประเภท
โดย พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการกองทุน สสส. กล่าวเปิดงานวิ่งด้วยกัน ONE TWO THREE ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ว่า งานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้คนพิการได้มีโอกาสออกกำลังกายด้วยการวิ่ง และให้คนปกติได้มีโอกาสรู้จักช่วยเหลือ ดูแล ทำให้ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน อันจะเป็นการสร้างสรรค์สังคมที่ทำให้คนพิการและคนปกติมีพื้นที่อยู่ร่วมกันเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้คนพิการในทุกประเภทได้ร่วมวิ่งกับคนปกติถือเป็นการวิ่งไปพร้อมๆ กัน ในระยะทาง 2, 6 และ 10 กิโลเมตร โดยนักวิ่งที่เป็นคนพิการทุกท่านจะมีอาสาสมัครที่เรียกว่าไกด์รันเนอร์คอยช่วยเหลือ วิ่งไปด้วยกันเป็นคู่ หรือเป็นกลุ่ม 2-3 คนตลอดทาง
“สิ่งที่ผมได้จากการมางานวิ่งในครั้งนี้คือ ผู้พิการทุกคนมีความสุขที่ได้ออกกำลังกาย ได้วิ่ง ได้ทำกิจกรรมเหมือนคนปกติทั่วไป สิ่งที่สัมผัสได้นอกจากผู้พิการทุกคนในงานนี้จะมีความสุขแล้ว พวกเราไกด์รันเนอร์ก็มีความสุขไม่แพ้กัน และสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากไม่มีความร่วมมือระหว่าง สสส. บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด และเครือข่ายสมาชิกร่วมกันจัดขึ้นทั้งนี้ได้มีการพูดคุยกับทาง สสส. เพื่อที่จะขยายงานวิ่งในรูปแบบนี้ในประเทศไทยให้มากขึ้นในอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการสนับสนุนของรัฐบาลในการเปิดโอกาสให้ผู้พิการได้มีโอกาสใช้ชีวิต และออกกำลังกายร่วมกับคนทั่วไป เพื่อสร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมกันในสังคม” รองนายกฯ กล่าว
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์
ด้าน ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของ สสส. ว่า ที่ผ่านมา สสส. ร่วมกับสมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพไทย จัดงานวิ่งมากว่า 700 งานทั่วประเทศ และงานวิ่งด้วยกัน 123 ถือเป็นกิจกรรมรูปแบบพิเศษที่เราเปิดโอกาสให้คนพิการได้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างหลากหลาย ทั้ง คนตาบอด หูหนวกออทิสติก ผู้พิการบนรถเข็นและสิ่งสำคัญในงานนี้คือผู้พิการที่ร่วมวิ่งจะได้ออกกำลังกายคู่กับคนทั่วไปที่มาเป็นไกด์รันเนอร์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายโอกาสให้ทุกคนตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว ก็ยังเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจในเชิงสัมผัส ให้คนที่มีร่างกายปกติได้รับรู้ถึงความรู้สึก และความยากลำบากของคนพิการ ซึ่งกิจกรรมนี้จะเป็นพื้นฐานที่จะทำให้สังคมโดยรวมมองคนพิการอย่างเข้าใจและหันมาสนับสนุนนโยบายของสมาพันธ์ฯ ให้ขยายงานวิ่งแบบนี้ออกไปมากยิ่งขึ้น
ดร.สุปรีดา กล่าวเพิ่มว่า สสส.ได้พัฒนางานวิ่งไปด้วยกัน 123 มาตลอดหลายปีจนตอนนี้มีองค์ความรู้ในการจัดงานว่าจะต้องมีการเตรียมการพิเศษอย่างไร จะต้องรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับผู้พิการ ซึ่งในอนาคต สสส.อยากจะขยายงานวิ่งด้วยกันให้เข้าไปสู่งานทั่วไป เราเองก็กำลังชวนเจ้าของสนามที่มีความพร้อมให้สอดแทรกเรื่องนี้ไปด้วย และเมื่อโอกาสถูกเปิดกว้างขึ้นในอนาคตเราอาจจะเห็นสนามวิ่งแบบนี้เป็น 10 หรือ 100 สนาม ยิ่งไปกว่านั้น สสส. ยังมีความพยายามที่จะขยายรูปแบบงานวิ่งนี้ร่วมกับทางสหประชาชาติ เพื่อให้นำไปใช้ในต่างประเทศ ด้วยองค์ความรู้ที่ตั้งต้นมาจากประเทศไทย
ในส่วนของนักวิ่งที่มาร่วมงานไม่ว่าจะเป็นคนพิการหรือไกด์รันเนอร์ต่างล้วนมีบทบาทที่สำคัญไม่แพ้กัน นายกิตติศักดิ์ วงศ์ไชย หรือ ปาล์ม อายุ 21 ปี ที่ได้ร่วมเป็นไกด์รันเนอร์ เล่าว่า ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานวิ่งนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว จากการชักชวนของเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นคนพิการ ต้องยอมรับว่าครั้งแรกที่มาเข้าร่วมตนไม่ได้รู้สึกพิเศษหรือมีความรู้เกี่ยวกับคนพิการเลย แต่พอได้มาวิ่งกับคู่ของตัวเองแล้วทำให้เราตัดสินใจสมัครมาเป็นไกด์รันเนอร์อีกครั้ง เพราะสิ่งที่ได้จากงานวิ่งนี้คือ เราได้ใกล้ชิด พูดคุย และเข้าใจผู้พิการที่เป็นคู่วิ่งของเรามากขึ้น การมาวิ่งตรงนี้ทำให้เราเกิดความเข้าใจ ได้เห็นอะไรหลายอย่างในมุมมองที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับคนพิการ เช่น เขาอยากจะวิ่ง อยากทำตัวเองให้เหมือนคนปกติทั่วไป แต่บางครั้งคนส่วนใหญ่ชอบคิดแทนคนพิการ ซึ่งเมื่อก่อนตนก็เป็นหนึ่งในนั้น
“งานวันนี้ในแง่ของรูปแบบมันแตกต่างจากงานวิ่งปกติทั่วไปอยู่แล้ว เพราะเรามีคู่ในการวิ่งที่มีความบกพร่องในร่างกาย เราต้องคอยดู คอยช่วย คอยสนับสนุนมันอาจจะไปไม่เร็วเหมือนเราวิ่งคนเดียว แต่หากเราวิ่งไปพร้อมกับเขา มันจะช่วยทำให้เขาไปได้ไกลมากขึ้น หรือข้ามขีดจำกัดที่เขาเคยซ้อมมา ผมจึงอยากเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมเป็นไกด์รันเนอร์มาออกกำลังกาย มาวิ่งร่วมกันไปกับคนพิการ เพราะการที่เราช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มันเหมือนเป็นยาชูกำลังชั้นเยี่ยม และจุดเริ่มต้นของความสุขสำหรับผมคือ เริ่มจากการเป็นผู้ให้นั่นเอง”คุณปาล์ม กล่าว
ขณะที่ นายพีรพล มหาภาพ หรือ ต๋อม อายุ 32 ปี ผู้พิการทางสายตาหนึ่งในนักวิ่งเล่าว่า ตนเข้าร่วมงานวิ่งนี้เป็นครั้งที่ 3 รู้จักกิจกรรมนี้ผ่านทางเฟซบุ๊ค เราเลื่อนมาเจอกลุ่มวิ่งด้วยกัน เห็นคนพิการหลายคนออกไปวิ่ง ทำให้ตนอยากออกจากบ้าน ตอนนั้นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสวนลุมพินีอยู่ที่ไหน แต่ขอให้ได้ไปก่อน เพราะใจเริ่มมา เริ่มจากการอยากออกกำลังกายเล็กๆ ในวันนั้นทำให้ตนวิ่งมาไกลจนถึงวันนี้ซึ่งในงานวิ่งด้วยกันแต่ละครั้งก็จะมีการจับคู่กับไกด์รันเนอร์ บางครั้งก็นัดกันออกไปซ้อมสร้างความคุ้นเคยกันบางก่อนถึงวันจริงที่ผ่านมาการวิ่งในแต่ละครั้งตนรู้สึกดีใจภูมิใจมากมากกว่านั้นยังได้มิตรภาพจากคนแปลกหน้าจนกลายมาเป็นเพื่อน บนเส้นทางมีแต่รอยยิ้มและกำลังใจ เราเป็นกำลังใจให้เขา เขาก็เป็นกำลังใจให้เราด้วยมาถึงตรงนี้ตนจึงอยากให้สังคมเปิดโอกาส และมองว่าคนพิการก็มีศักยภาพเหมือนคนปกติทั่วไป พวกเราสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด และที่สำคัญอยากเชิญชวนให้คนพิการก้าวออกมาจากกรอบที่ถูกสังคมตีเอาไว้ ออกมาร่วมวิ่งกับพวกเรา ครั้งแรกมันอาจจะยากในการเริ่ม แต่เมื่อทำได้แล้วมันจะเปลี่ยนโลกทั้งใบของเราไปเลย
นอกจากงาน “วิ่งด้วยกัน 123 กรุงเทพมหานคร” นี้ยังมีการสร้างเครือข่าย “วิ่งด้วยกัน” ของนักวิ่งคนพิการและไกด์รันเนอร์ในจังหวัดอื่นๆ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีการจัดงานวิ่งด้วยกันเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้นักวิ่งคนพิการ และไกด์รันเนอร์ชวนกันออกไปวิ่งเสริมสร้างมิตรภาพและสุขภาพที่ดี ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน Facebook fan page : วิ่งด้วยกันมินิมาราธอน หรือโทร.086-0695652 อีเมล info@klongdinsor.com
โดย ปานมณี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี