เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ 7 ต.ค. 2551 ให้ยกฟ้อง จำเลย 4 รายได้แก่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1, พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หรือบิ๊กจิ๋ว อดีตรองนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2, พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. จำเลยที่ 3 และพล.ต.ท.สุชาติเหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. จำเลยที่ 4
คดีนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
ผมเคารพดุลยพินิจของศาล แต่ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำตัดสิน
ผมยอมรับคำตัดสิน เพราะต้องรักษาระบบและกระบวนการยุติธรรมแต่เกรงว่าจะเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีต่อๆ ไป เพราะใช้คำพิพากษาของศาลฎีกาฯไปเป็นบรรทัดฐาน
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะผู้ศึกษาวิจัยหลังเหตุการณ์ 7 ต.ค.2551 ได้รับทราบข้อมูลจากคณะผู้วิจัยที่ออกไปสำรวจ สอบถามข้อเท็จจริง ที่มาที่ไปของเหตุการณ์ จากเหยื่อ ผู้เคราะห์ร้ายบาดเจ็บ และญาติของผู้เสียชีวิต ดังปรากฏในแผ่นภาพซีดีและหนังสือ “บาดแผล 7 ตุลา”
ผมขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช.อุทธรณ์คำพิพากษาของศาล ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ตามหน้าที่และอำนาจของ ป.ป.ช. และตามสิทธิที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน
อย่างน้อย ในประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ยังมีประเด็นไม่เป็นที่ยุติชัดแจ้ง ดังนี้
1.นายกฯ สมชายสามารถหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าแถลงนโยบายในรัฐสภาได้ โดยสามารถเลื่อนเวลาและเปลี่ยนสถานที่ ดังเช่นที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้เลื่อนเวลาและย้ายสถานที่ไปแถลงนโยบายที่กระทรวงการต่างประเทศ
การไม่คิดจะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงของผู้มีอำนาจรัฐ สะท้อนเจตนาและการเล็งเห็นผลได้อย่างไร
2.การชุมนุมของประชาชนบริเวณหน้ารัฐสภา เริ่มคืนวันที่ 6 ต.ค.2551 พอรุ่งเช้า 7 ต.ค. 2551 เวลา 06.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชน เดินหน้ายิงตรงใส่ฝูงชนพร้อมตะโกน “มันอยู่ได้ให้มันอยู่ไป อยู่ได้อยู่ไป” แสดงความสะใจ อาฆาตมาดร้ายของเจ้าหน้าที่ผู้ถืออาวุธปฏิบัติการในขณะนั้นอย่างไร?
มีการทำร้ายซ้ำผู้บาดเจ็บหนักอย่างไร เพราะมีคลิปเหตุการณ์หลายครั้ง หลายเหตุการณ์ รวมทั้งการเตะช้อนเข้าที่ใบหน้าของ
ผู้ชุมนุมที่กำลังล้มคลานอย่างรุนแรง ในระหว่างสลายการชุมนุม
การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนักตามระเบียบอย่างไร เพราะเจ้าหน้าที่ต้อง (1) เจรจา (2) ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ผู้ชุมนุมทั่วไปรู้ว่าเขาชุมนุมไม่ได้เพราะอะไร และจะปฏิบัติขั้นตอนต่อไปอย่างไร (3) ใช้โล่และกระบองกดดัน (4) ใช้น้ำฉีด (5) ใช้แก๊สน้ำตาเพื่อขับไล่ (มิใช่ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตายิงตรงใส่คน) ซึ่งศาลปกครองกลางเคยพิพากษาว่า เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนหลักสากล และละเมิดผู้ชุมนุม สั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายมาแล้วอย่างไร
3.ได้ปรากฏทั่วไป ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และการถ่ายทอดสดว่า มีผู้บาดเจ็บล้มตายจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่ช่วงเช้า ก็ไม่มีการสั่งการให้หยุดปฏิบัติการในช่วงบ่าย ซึ่งนายกฯ และคณะได้ออกจากรัฐสภาไปแล้วก็ยังไม่หยุดปฏิบัติการ ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น
แม้เวลาจะล่วงถึงค่ำ ก็ยังมีการปฏิบัติการด้วยความรุนแรงที่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ดังเช่นกรณีของคุณรุ่งทิวา
ธาตุนิยม ที่เดินทางออกจากบ้านที่อำเภอปากช่อง เข้ามาร่วมชุมนุมตอนเย็นค่ำ เพราะได้รู้จากสื่อว่ามีการใช้ความรุนแรง เธอและเพื่อนๆ ผู้หญิง 4-5 คน จึงรีบเดินทางเข้ามา เพราะคิดว่าถ้ามีคนมากๆเจ้าหน้าที่จะได้เลิกใช้ความรุนแรง เพราะมิเช่นนั้นจะทำให้คนบาดเจ็บล้มตายอีก (ปรากฏในเอกสารวิจัย) แต่แล้วเธอก็ต้องถูกระเบิดแก๊สน้ำตาทำให้กะโหลกศีรษะยุบไปข้างหนึ่ง ลูกตาหลุดไปข้างหนึ่ง ต้องนอนไม่รู้ตัวอยู่ 7-8 ปี และเพิ่งเสียชีวิตเมื่อเร็วๆ นี้
อย่าลืมว่า ในช่วงบ่ายของวันที่ 7 ตุลาคม พลเอกชวลิตยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีได้ขอลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบแสดงถึงความสำนึกผิดที่ปฏิบัติการแล้วมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ย่อมเป็นเครื่องชี้ได้ว่า ในช่วงบ่ายของวันนั้นผู้รับผิดชอบและผู้สั่งการควรจะได้สั่งให้มีการยุติการใช้ความรุนแรงและระเบิดแก๊สน้ำตา การไม่ปรากฏคำสั่งดังกล่าว และยังมีปฏิบัติการจนถึงเวลาคำมืด แสดงให้เห็นถึงเจตนาของการละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบอาจมีเจตนาหวังผลให้เกิดความสูญเสีย
ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบสั่งการ น่าจะได้สั่งให้ยุติการใช้ความรุนแรง ที่ทำให้คนบาดเจ็บล้มตาย การละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยเล็งเห็นผลได้ว่าจะเกิดการบาดเจ็บล้มตาย น่าจะมีความผิดและต้องรับผิด
ประเด็นนี้ ป.ป.ช. จึงน่าจะหาหลักฐานอุทธรณ์ต่อไป
4.น่าจะอุทธรณ์ว่า การชุมนุม 193 วันของพันธมิตรฯ รวมทั้งการชุมนุมที่ถนน บริเวณหน้ารัฐสภา เป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญอย่างไร? คำพิพากษาของศาลอาญาในหลายกรณี รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ได้ชี้ว่าเป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญอย่างไร?
และน่าจะชี้ให้ศาลเห็นว่า ขนาดมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขาขาด แขนขาด ลูกตาหลุด พิการ เสียชีวิต ประชาชนผู้ชุมนุมยังไม่พังประตู หรือปีนรั้วเข้าไปในรัฐสภาแต่อย่างใด ไม่ก่อการจลาจลในบ้านเมือง ทั้งๆ ที่ อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น และมีจำนวนคนมากขนาดนั้น
น่าจะสะท้อนเจตนารมณ์ของการชุมนุม ว่ามิได้ต้องการใช้ความรุนแรง หรือสร้างความเสียหายแก่สถานที่ราชการและประเทศชาติส่วนรวม อย่างไร
5.ป.ป.ช.น่าจะนำหลักฐานเป็นเทป ซึ่งผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 3 เหล่าทัพขณะนั้น รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ) และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ไปแถลงแสดงความเห็นที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2551 (หลังเหตุการณ์ 7 ต.ค. เพียง 9 วัน)นำเสนอต่อศาลเพื่ออุทธรณ์ด้วย ดังปรากฏข้อความบางช่วงบางตอนที่สื่อมวลชนนำมาเผยแพร่ คำพูดของ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. (ขณะนั้น) ดังนี้
“สำหรับเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ต.ค.นั้น ยืนยันได้ว่ากองทัพ ไม่ได้รับทราบมาก่อนเลย เมื่อตอนประชุมร่วมกับรัฐบาลในเย็นวันที่ 6 ต.ค. นั้น ทราบแค่เพียงว่านายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตำรวจดูแลความเรียบร้อยให้สามารถเข้าไปประชุมในสภาได้ กองทัพจึงมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการสั่งการของเจ้าหน้าที่รัฐ ให้ตำรวจปฏิบัติงาน ซึ่งเราคงไปยุ่งไม่ได้ และเรื่องของการเอาผิดกับใครเราคงไม่ไปพูดถึง บอกได้เพียงแต่ว่าเสียใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น และก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย ว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขนาดนั้น
ส่วนสาเหตุที่ทหารไม่ได้ออกไปนั้น ก็เพราะเราไม่คิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงมากขนาดนี้ และมองว่าหากกองทัพนำทหารออกไปจะนำออกไปในฐานะใด เพราะการนำทหารออกไปก็ไม่มีกฎหมายใดรองรับ หากนำทหารออกไปแล้วสถานการณ์ความรุนแรงจะมากขึ้นหรือไม่ รวมไปถึงหากนำทหารออกไปแล้ว กองทัพ และตำรวจก็จะต้องแตกแยกกันไปอีกยาวนาน และยากที่จะประสาน”
พล.อ.อนุพงษ์ ยังพูดด้วยว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ตนก็คงต้องคัดค้านการกระทำของรัฐบาลอย่างถึงที่สุด คงจะนำทหารออกไปป้องกันความรุนแรงอย่างเต็มที่ เพราะตนก็ไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย และความรุนแรงขนาดนี้ เพราะผู้เสียชีวิตและประชาชน อย่างเช่น น้องโบว์ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ นั้นก็เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ายิ่งของประเทศและสังคม
ส่วนการเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ผบ.ทบ.ขณะนั้น ระบุว่า แน่นอนว่า ฝ่ายการเมืองต้องเป็นผู้สั่งการ มิฉะนั้น
ตำรวจก็ลงมือปฏิบัติการมิได้ ซึ่งตนคิดว่าหากตำรวจรู้ว่าจะเกิดความรุนแรงขนาดนี้ ตำรวจก็คงไม่ทำ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องไปดูว่า ไปสอบสวนว่า เหตุใดความรุนแรงนี้จึงเกิดขึ้น ใครเป็นคนสั่งการ และแก๊สน้ำตาที่ใช้นั้นเหตุใดจึงสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้ ซึ่งเรื่องนี้อย่างไรก็ต้องหาคนรับผิดชอบให้ได้ เพราะการสูญเสียที่เกิดขึ้นผู้ชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.นั้น เป็นแค่ขั้นปฐมภูมิ เท่านั้น แต่ความสูญเสียและความเสียหายที่จะตามมาอีกมากนั่นคือ สถาบันตำรวจที่จะถูกผู้คนมอง ว่าทำร้ายประชาชน
พล.อ.อนุพงษ์ เปิดเผยด้วยว่า ฝ่ายการเมืองนั้น กดดันให้ตนใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมมาตลอด ตั้งแต่มีการประกาศพระราช
กำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช แต่ตนก็ไม่ทำเพราะเห็นว่าแก้ปัญหาใดๆ ไม่ได้ และในการชุมนุมมา 100 กว่าวันของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยมาตลอด
ในส่วนของผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.นั้น พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ตนอยากเรียกร้องให้รัฐบาลออกมารับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลควรจะลาออก หรือยุบสภาเสีย เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่มีทางออกแล้ว ซึ่งตนไม่ได้บีบคั้นรัฐบาล แต่ตนมองว่ารัฐบาลจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“ต้องมีคนออกมารับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบเรื่องนโยบายการสั่งหรือการปฏิบัติ ต้องสอบสวนกันไป ดูตามเหตุผล กฎหมาย และหลักการที่จะทำได้ น่าจะสร้างความพึงพอใจให้กับคนในชาติได้ มิเช่นนั้นคงไม่ได้” ผู้บัญชาการทหารบก
ขณะนั้นกล่าว
6.น่าคิดว่า หากคดีนี้จบโดยไม่มีผู้กระทำผิด ต่อไปในอนาคตประชาชนอาจคิดว่าการชุมนุมอย่างสันติวิธี จะทำให้เขามีความเสี่ยงที่จะสูญเสียชีวิตและร่างกายก็จะมีคนอยู่สองประเภทคือ ไม่ไปชุมนุม ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญอย่างไร หรือไปก็พกอาวุธ และไม่ใช้สันติวิธี บ้านเมืองสังคมไทยจะเป็นอย่างไร?
ป.ป.ช.ต้องอุทธรณ์เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้ประธาน ป.ป.ช.ในปัจจุบัน จะลำบากใจที่ถูกประชาชนจับตาเพราะคิดว่าท่านเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ. พัชรวาทวงษ์สุวรรณ และเคยเป็นรองเลขาฯ นายกฯ ทำหน้าที่เลขาฯ ให้แก่รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และประชาชนกริ่งเกรงว่าท่านประธาน ป.ป.ช.อาจจะเกิดความเกรงใจ
แต่ผมคิดว่า เมื่อท่านเข้ารับตำแหน่ง ประธาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรสำคัญที่ดำเนินการกับนักการเมือง และเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งน้อยคนจะได้ทำหน้าที่นี้และประชาชนก็คาดหวังกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งนี้เป็นอย่างมาก ผมจึงเชื่อว่า ท่านจะใช้ดุลยพินิจอย่างปราศจากอคติ พิจารณาด้วยใจกลางๆ เพื่อรักษาองค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
เร่งหาประเด็นและข้อมูลเพื่ออุทธรณ์คดี 7 ต.ค. ซึ่งเป็นคดีสำคัญที่คนสนใจทั้งประเทศ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินต่อไปจนถึงที่สุด คือ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้มีโอกาสวินิจฉัยพิพากษาคดีประวัติศาสตร์นี้ ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ 2560 ของชาติไทยต่อไป
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี