ต่อตระกูล: วันพุธที่ 9 สิงหาคมนี้ ตรงกับวันครบรอบวันเกิดปีที่ 85 ของคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้บัญญัติศัพท์ไทยจากคำภาษาอังกฤษ “Transparency” มาเป็นคำไทยว่า “โปร่งใส” และประกาศนโยบายรัฐบาลต้องโปร่งใสเป็นรัฐบาลแรก ที่สำคัญคุณอานันท์ไม่ใช่เพียงแต่พูด แต่ได้ลงมือทำจริงเป็นตัวอย่างด้วย ในรัฐบาลทั้งสองสมัยเมื่อกว่า 25 ปีที่ผ่านมา
ต่อภัสสร์: ช่วงที่คุณอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ผมยังอายุเพียง 5 ขวบ เลยไม่ทันได้รับรู้สภาพสังคมและการเมืองในสมัยนั้น แต่จากการศึกษาประวัติศาสตร์นโยบายสาธารณะไทย โดยเฉพาะจากหนังสือคอร์รัปชัน: ข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ โดย รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์, รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ และผศ.นพนันท์ วรรณเทพสกุลก็พบว่า คุณอานันท์มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงโครงสร้างการเมืองการปกครองของประเทศไทยอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการเสริมสร้างธรรมาภิบาล
ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ในระยะสั้นนั้น ทันทีที่คุณอานันท์เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ได้ทบทวนและแก้ไขสัญญาหลายโครงการขนาดใหญ่ที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการทุจริต เช่น โครงการรถไฟฟ้าลาวาลินที่มีการขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กันมาก จนต้องยกเลิกไป โครงการโฮปเวลล์ที่มีงบประมาณมหาศาลแต่กลับมีรายละเอียดโครงการเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ โครงการประมูลขยายบริการโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมายที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเสียเปรียบคู่สัญญาเอกชนอย่างมากโครงการประมูลสัมปทานดาวเทียมไทยคมที่มีการคัดเลือกผู้ชนะการประมูลอย่างไม่เหมาะสม และโครงการสัมปทานโทรคมนาคมที่มีความไม่โปร่งใสทำให้รัฐเสียเปรียบอย่างมาก คุณอานันท์หยิบสัญญาโครงการเหล่านี้มารื้อ เพื่ออุดช่องโหว่ที่รัฐจะเสียเปรียบ ช่วยรักษาผลประโยชน์ให้แก่ชาติอย่างมหาศาล
ส่วนในระยะกลางนั้น คุณอานันท์ได้เข้ามาปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างเพื่ออุดช่องโหว่ป้องกันการทุจริต เช่น กำหนดให้โครงการที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านบาทต้องใช้วิธีการประมูล ถ้าเหลือผู้ประมูลรายเดียวต้องยกเลิกการประกวดราคานั้น แล้วจัดประกวดใหม่ การซื้อหรือการจ้างแบบเหมารวม (turnkey) ที่มีโอกาสเกิดการทุจริตสูงต้องได้รับมติจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถูกบรรจุอยู่ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ที่ยังใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ และเพิ่งมีแนวทางที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็น พ.ร.บ. ในเร็วๆนี้
ส่วนในระยะยาว คือวิสัยทัศน์ของคุณอานันท์ที่ก้าวไกลกว่าคนทั่วไปในยุคเดียวกันมาก เห็นได้จากขณะนั้นนักวิชาการและผู้ออกแบบนโยบายสาธารณะยังคุยกันเรื่องการปราบปรามการทุจริตด้วยการออกกฎหมายเพิ่มขึ้นเป็นหลัก แต่คุณอานันท์
ล้ำหน้าเสนอเรื่องการป้องกันการทุจริตโดยการสร้างความโปร่งใสว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่าการไปไล่จับคนโกงมาลงโทษทีละคน ซึ่งนี่เป็นหลักการสำคัญที่นักวิชาการทั่วโลกกำลังให้ความสนใจในปัจจุบันและประเทศไทยกำลังมุ่งพัฒนาอยู่ในวันนี้ นับได้ว่าคุณอานันท์มีความคิดก้าวไกลกว่าคนทั่วไปเกือบ 30 ปีเลยทีเดียว
ต่อตระกูล: ส่วนตัวผมเอง ทันได้เห็นสภาพสังคมไทยช่วงที่คุณอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรี และมีโอกาสเห็นตัวตนความเป็นนักประชาธิปไตยของคุณอานันท์โดยตรง ในช่วง 3 ปีที่ได้ร่วมทำงานเป็นประธานคณะทำงานศึกษาและติดตามปัญหาคอร์รัปชัน ในสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรุ่นแรกที่มีคุณอานันท์เป็นประธานสภาฯ ผมได้พบวัฒนธรรมการทำงานแบบประชาธิปไตยที่ไม่ค่อยได้เห็นในการทำงานขององค์กรอื่นๆในประเทศไทย ที่ผมประทับใจที่สุดคือการที่คุณอานันท์ในฐานะประธานสภาฯมักจะใช้คำพูดว่าผม “ขอคิดดังๆว่าอย่างนี้นะ” แทนคำพูดที่ผู้ใหญ่ไทยมักจะเริ่มพูดด้วยคำว่า “ผมเห็นว่า” หรือ “ผมคิดว่า” ซึ่งเป็นประโยคสำคัญที่จะมาปิดกั้นไม่ให้ผู้น้อยด้วยอายุหรือตำแหน่งต่ำกว่ากล้าคิดเห็นแตกต่าง
ที่ผมยกเรื่องวัฒนธรรมประชาธิปไตยขึ้นมา เพราะประชาธิปไตยกับการต่อต้านคอร์รัปชันนั้นเป็นของคู่กัน วิธีแก้ไขคอร์รัปชันทั้งหลาย ไม่ว่าการให้ประชาชนมีส่วนร่วม การสร้างความโปร่งใส หรือการสร้างกลไกความรับผิดชอบนั้น ล้วนแต่เป็นหลักการประชาธิปไตยทั้งสิ้น ดังนั้นวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่คุณอานันท์ส่งเสริม จึงเป็นการวางรากฐานการแก้ปัญหาคอร์รัปชันที่ยั่งยืน
ต่อภัสสร์: เรื่องความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันนั้น ผมประทับใจกับปาฐกถาตอนหนึ่งของคุณอานันท์ในการเปิด
การสัมมนาวิชาการเรื่องสังคมโปร่งใสไร้ทุจริต เมื่อปี พ.ศ.2543 ว่า “ลำพังแต่กลไกทางกฎหมายอย่างเดียว ต่อให้มีหลักนิติธรรมอย่างไรก็ไม่เพียงพอสำหรับการแก้ไขปัญหาการทุจริต เราจึงจำเป็นต้องสร้างองค์ประกอบต่างๆในสังคมไทย เพื่อสนับสนุนให้กลไกต่างๆมีประสิทธิภาพมากขึ้น องค์ประกอบเหล่านี้ มีสามประการคือ ประการแรก สังคมต้องมีความโปร่งใส รัฐจะให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนอย่างเดียวไม่พอเพียง ต้องสร้างกลไกให้ประชาชนตั้งคำถามได้ในกรณีที่ส่อแววการทุจริต ประการที่สอง สังคมต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องทันการและครบสมบูรณ์ด้วย ประการที่สาม สังคมต้องสร้างกลไกความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้เพราะหากขาดกลไกการตรวจสอบความโปร่งใสก็เกิดขึ้นได้ลำบาก หรือถ้ามีแต่ความโปร่งใสแต่ตรวจสอบใครไม่ได้ก็ยากที่ความโปร่งใสจะพาเราไปถึงจุดหมายปลายทาง”
ต่อตระกูล: อันนี้เห็นด้วยมาก ทุกวันนี้เรามีข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐออกมาสู่สังคมมากขึ้นแต่ยังไม่มีคนมากพอที่มาช่วยอ่าน ช่วยตรวจสอบ ดังนั้นเราต้องสร้างกลไกนี้ให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยการสร้างจิตวิญญาณสาธารณะและความตื่นตัวในการตรวจสอบการทำงานของผู้ใช้อำนาจรัฐ
สุดท้ายนี้ผมและต่อภัสสร์ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมทั้งพระสยามเทวาธิราช และพลังแห่งความยึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จงดลบันดาลให้คุณอานันท์ ปันยารชุน และครอบครัว เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ และพละ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมือง และเป็นแบบอย่างที่ดีทางความคิดสำหรับผู้บริหารประเทศต่อไปครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี