“คอร์รัปชันทำร้ายฉัน ทำลายชาติ”เป็นคำพูดของเยาวชนไทยถึงพิษร้ายของคอร์รัปชันในวันนี้!
มาถึงวันนี้วันที่คนไทย 86% ของกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ ประกาศว่ายินดีจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันของชาติ ตามผลสำรวจล่าสุดของ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อสิงหาคม 2560 เพิ่มขึ้นมาจากตัวเลข 78% เมื่อปี 2553 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก น่าจะเป็นผลส่วนหนึ่งของความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการต่อต้านการทุจริตทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ได้ร่วมกันรณรงค์ปลุกจิตสำนึกให้คนไทยไม่ยอมรับการคอร์รัปชันอีกแล้ว โดยผ่านโครงการปลูกฝังความคิดในระบบการศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ขึ้นไปมัธยมศึกษา และจนถึงอุดมศึกษา
การจะดูว่ามีความสัมฤทธิผลอย่างไรได้ส่วนหนึ่ง ก็จากการดูที่พฤติกรรมการปฏิบัติหรือการพูดการเขียน ออกมาสู่สาธารณะของเยาวชนไทยในระดับต่างๆ จึงขอเล่าให้เห็นว่าใครทำอะไรและได้ผลอย่างไรบ้าง พอสังเขป
เริ่มด้วยในระดับประถมศึกษา มีโครงการโตไปไม่โกงที่เริ่มในการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครทั้งหมด ที่เริ่มตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมาอาจารย์ ดร.กนกกาญจน์ อนุแก่นทราย หนึ่งในคณะผู้จัดทำหลักสูตร “โตไปไม่โกง”เล่าให้ฟังว่า “สิ่งที่เราค้นพบคือ หลักสูตรดังกล่าวสามารถช่วยกระตุ้นสร้างสำนึกให้นักเรียนเกิดการตระหนักและรับรู้ต่อเรื่องคุณธรรม ความซื่อสัตย์ได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่นมีนักเรียนคนหนึ่งที่เขาได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการนี้ ทำให้เขารู้สึกอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อส่วนรวม เขาจึงไปสอนน้องๆ ที่ยังอ่านหนังสือไม่ออกให้ฝึกหัดเขียนหนังสือ โดยเขาสอนน้องให้เขียนคำว่า “ไม่โกง” และ “เป็นคนดี” นี่คือตัวอย่างที่เราได้เห็นการต่อยอดแนวคิดโครงการที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ หรืออย่างเช่นในกลุ่มเด็กเล็กที่มีของหายกันเป็นประจำ ปรากฏว่าหลังจากเด็กๆ ได้เรียนรู้หลักสูตรนี้ คุณครูบอกกับเราว่าของหายน้อยลง เพราะเด็กมีความรับผิดชอบมากขึ้น และอีกส่วนหนึ่งคือ เวลาที่เขาเก็บของคนอื่นได้ ก็จะเอามาคืนครู”
ที่ผมได้เห็นด้วยตนเองคือ ได้ไปฟังนักเรียนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการโตไปไม่โกงออกมา
ยืนพูดบนเวทีวันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติ ถึงความคิดความรู้สึกของเธอเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตที่เธอได้และปลูกฝังมาในโครงการ เธอพูดได้ดีมาก แต่ผมชอบตอนสุดท้ายที่สุด ที่เธอพูดเพิ่มเติมจากเนื้อหาที่เตรียมไว้ว่า “สุดท้ายนี้หนูต้องขอแสดงความซื่อสัตย์สุจริตตามที่ได้รับการอบรมมา ขอบอกว่า บทความนี้มีคุณครูเป็นผู้ขัดเกลาเนื้อหาของหนูให้ด้วย สวัสดีค่ะ”
ผมชอบและชื่นชมมากที่ความซื่อสัตย์พื้นฐานได้ฝังเข้าไปได้ในเด็กเล็กๆนี้แล้ว และเป็นการพิสูจน์ว่า หากเรามีวิธีการที่ดีพอในการสร้างจิตสำนึก ให้กับเด็กเล็กๆแทนวิธีการให้ท่องจำ เด็กๆเหล่านี้ก็สามารถซึมซับและสามารถจะคิดเอง นำไปใช้เองได้ เติบใหญ่เป็นคนดีของประเทศได้
ต่อมาในระดับมัธยมศึกษา มีโครงการประกวดการพูดต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ผมได้เปิดฟังจากคลิปของผู้ชนะเลิศการประกวดการพูดประจำปี 2559 จากสำนักงาน ป.ป.ช. ในหัวข้อปีนี้ว่า “คอร์รัปชันทำร้ายฉัน ทำลายชาติ” ผู้ที่ชนะเลิศนี้คือ นายวัชรินทร์ ทวีโชติ เป็นนักเรียนโรงเรียนศรีหนองกาววิทยา จังหวัดขอนแก่น เขาพูดว่า ครอบครัวของเขาเป็นชาวนาทำงานจนเหงื่ออาบ แต่ไม่สามารถสลัดสภาพความจนออกไปได้ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างที่คนรากหญ้าอย่างครอบครัวเขาในชนบทพึงจะได้รับจากงบประมาณมากเกินคณานับ แต่โดนเปลี่ยน โดนปรับ ตามเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจ ในการจัดจ้าง ถนนคอนกรีตเสริมเหล็กในหมู่บ้าน ถูกปรับลดความหนา ก่อสร้างไปสักพักก็สึกกร่อน ประชาชนต้องขี่จักรยานยนต์ไปบนถนนที่ชำรุด เสี่ยงต่อสวัสดิภาพของตนเองผ่านหลุมบ่อของถนนนี้ทุกวัน
เขาพูดถึงการคอร์รัปชันในโรงเรียนได้บั่นทอนสติปัญญาของผู้เรียนงบการศึกษาสูญเสียไปกับการโกงในการสร้างสนามฟุตซอลที่แพงลิ่วและไม่มีคุณภาพ การโกงของผู้ใหญ่คือสิ่งเลวร้ายที่สุดเพราะเป็นการสร้างตัวอย่างเลวร้ายลงในส่วนลึกของจิตใจของเยาวชนทั้งชาติ
ตอนท้ายๆที่ดีมาก ก็คือ วัชรินทร์ได้มีแนวคิดวิธีแกัไขปัญหา เขาเสนอว่าพวกเขาเองจะช่วยชาติได้อย่างไรบ้าง เขาเสนอแนะว่าเยาวชนของชาติควรนำเครื่องมือที่ทุกคนมีอยู่ในมือคือโทรศัพท์มือถือ มาใช้ประโยชน์ในการต่อสู้กับคอร์รัปชันด้วยการรับฟังข่าวสารเปิดแอพพลิเคชั่นที่เป็นประโยชน์และร่วมการรายงานเปิดเผยเปิดโปงพฤติกรรมของคนคดโกง ไล่ล่า ปราบคอร์รัปชันให้สิ้น
แผ่นดินไทยได้
เมื่อผมได้ดูคลิปผู้ชนะรางวัลที่ 1 นี้จนจบ มือถือของผมก็เปิดคลิปต่อไปอัตโนมัติ เป็นคลิปของผู้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ผู้พูดเป็นนักเรียนหญิงจากโรงเรียนวัดสระแก้ว จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นโรงเรียนเพื่อเด็กกำพร้าและเด็กยากจน ซึ่งก็น่าสนใจมากเช่นเดียวกัน เธอชื่อนางสาวอชรายุ ทัศนโสภณ อยู่ชั้น ม.6 เธอบอกว่าเธอเป็นชนกลุ่มน้อยชาวม้งเธอและเพื่อนๆ
ชาวม้ง 40 คน เรียนที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนต้องท้องเสียปางตายจากพิษนมบูดนี่เป็นประสบการณ์ของคำว่าคอร์รัปชันทำร้ายฉัน ที่เธอเจอเป็นครั้งแรก ต่อมาเธอได้มาเรียนชั้นมัธยม ที่โรงเรียนวัดสระแก้ว เธอก็ได้รับพิษภัยจากพ่อค้าแม่ค้าที่คิดว่าการทุจริตเพียงนิดเดียวคงไม่เป็นไร โดยนำเนื้อหมูที่มีเชื้อโรคมาให้เธอและเพื่อนกิน ทำให้เด็กๆทั้งโรงเรียนต้องถูกส่งโรงพยาบาลด้วยอาการท้องเสียเนื่องจากอาหารเป็นพิษ
เธอรู้สึกว่าคอร์รัปชันได้มาทำร้ายฉันเป็นครั้งที่สองแล้ว เธอเล่าอีกว่าชนเผ่าม้งพี่น้องของเธอ ถูกนักธุรกิจที่ทุจริตไร้คุณธรรมมาหลอกล่อให้คนเผ่าม้งไปตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกข้าวโพด เธอจึงต้องพยายามเล่าเรียนให้สำเร็จชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัดสระแก้วเพื่อหวังว่าวันหนึ่งเธอจะได้กลับไปบอกพวกของเธอ มิให้หลงเชื่อคนทุจริตอีกต่อไป
สุดท้ายในระดับอุดมศึกษา เมื่อปี พ.ศ. 2556 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้จัดประกวดการเขียนบทความต่อต้านคอร์รัปชันในระดับนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ มีบทความกว่า 200 ผลงานส่งเข้ามาประกวด แต่ไม่มีบทความที่ชนะเลิศการประกวดอันดับที่ 1
เลย บทความที่ดีที่สุดได้รับเพียงรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เป็นผลงานของนายพงษ์สิน มาตย์นอก นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในหัวข้อ “บัณฑิตไทย ไม่โกง”
พงษ์สิน ได้เขียนไว้ในบทความของเขาตอนหนึ่งซึ่งเน้นว่า บัณฑิตทุกคนต้องเริ่มจากตนเองก่อน เริ่มจากสิ่งเล็กๆใกล้ตัว ปลูกฝังลักษณะนิสัย และจิตสำนึกให้ซื่อสัตย์สุจริตอยู่เสมอ ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง “...เมื่อเราเริ่มอบรมและพัฒนาตนเองให้เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต สิ่งเหล่านี้ก็จะเปล่งประกายสู่คนรอบข้าง กลายเป็นค่านิยมต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบในสังคมไทย โดยค่านิยมเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และทุกคนในสังคม ต่อสู้ร่วมกัน เพื่อให้การทุจริตคอร์รัปชันเป็นเพียงวัชพืชร้ายที่รอวันเฉาตาย ไม่มีการบำรุงให้เจริญงอกเงยได้อีกต่อไป เริ่มจากกลุ่มเยาวชน นักศึกษา และประชาชน การต่อสู้กับคอร์รัปชันต้องเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ คือที่ตัวเราเองและครอบครัว พ่อแม่มีหน้าที่สร้างค่านิยมและจิตสำนึก ทำตัวเป็นตัวอย่าง และที่สำคัญต้องยึดมั่นในความพอเพียง กลุ่มภาคเอกชน เริ่มจากการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ซื่อสัตย์และยึดมั่นในความเป็นธรรม กลุ่มสื่อมวลชน สภาวิชาชีพฯ และองค์กรชุมชน จะต้องส่งเสริม ประชาสัมพันธ์และเป็นกระบอกเสียงในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน กล้าที่จะตีแผ่ความจริง ดึงด้านมืดแห่งการทุจริตออกมา
ตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้ กลุ่มภาครัฐจะต้องมีนโยบายด้านต่างๆที่ใสสะอาด สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงชี้แจงผลการดำเนินงาน การใช้จ่ายงบประมาณให้สาธารณชนได้ทราบอย่างโปร่งใส และมีกระบวนการคัดสรรบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ ประวัติใสสะอาด มาปฏิบัติงาน...”
จากตัวอย่างความคิดความรู้สึกของเยาวชนไทยในช่วงเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาที่ได้นำมาเสนอนี้ พบได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากในค่านิยมและทัศนคติของประชาชนคนไทยทั้งประเทศลงไปถึงเด็กนักเรียนในชั้นประถมมัธยมและในมหาวิทยาลัยต่างๆ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนไทย จากที่เคยมีคนกว่า 65% ในช่วงปี พ.ศ. 2556 เห็นว่า “การที่รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน แต่มีผลงานและทำประโยชน์ให้สังคมเป็นเรื่องที่รับได้” ได้ลดลงมาเหลือเพียง 4% ในผลสำรวจของมหา’ลัยหอการค้าไทย เมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา
ประเทศไทยยังมีความหวังในอนาคตกับคนรุ่นใหม่ของเราครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี