บริบทการเมืองใหม่หลัง 6 คำถามของนายกฯ ตามมาด้วยข่าวตั้งพรรคการเมืองใหม่ของทหาร 1-2 พรรค ตลอดจนการจับมือพันธมิตรร่วม และล่าสุดมาถึงจุดเปลี่ยนของนักการเมืองเดิมในระบบ ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ด้วยกระแสข่าวพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทยที่แสดงให้เห็นการเปิดช่องจับมือกรายๆ เพื่อเป็นประตูใหม่ทางการเมือง หลังจากมีรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับถาวร ที่ดูเหมือนจะปูทางไปสู่การสืบทอดอำนาจหรือไม่นั้น แต่พอเจอประตูใหม่ทางการเมือง ก็ทำให้แนวทางที่คิดไว้ อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด?
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังยืนยันจะมีการเลือกตั้งตามโรดแมปแน่นอน กระบวนการเคลื่อนไหวของสามก๊กทางการเมืองในเวลานี้ จึงขยับเป็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าฝ่ายทหารที่จะถูกบวกด้วยกลุ่มการเมืองที่สนับสนุน และอาจรวมถึงว่าที่สว.ในอนาคต อีก 2 ก๊กที่เหลือคือ 2 พรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ดูเหมือนว่าพรรคขนาดกลางและเล็กที่เหลือทั้งหมด และบางกลุ่มการเมืองกลับจะมีบทบาทมากขึ้นภายใต้ร่มอำนาจรัฐบาลทหารนี้ หรือไม่? ขณะซีกรัฐบาลทหารที่ก่อนหน้านี้ประกาศมาตลอดว่า วางตัวเป็นกลางทางการเมือง บอกจะไม่เอาพรรคการเมือง บอกไม่ลงเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ตอนนี้กลับตะลุยลงพื้นที่ เร่งประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาลแบบสุดๆ ตลอดจนโครงการเมกะโปรเจกท์ล่าสุดอย่าง อีอีซี ที่ดูเหมือนมีคำสั่งให้ลงนามทุกอย่างก่อนเลือกตั้ง ใช่หรือไม่? ร่วมกับข้อสงสัยการแหวกที่นั่งให้กลุ่มการเมืองในครม.ใหม่ แบบนี้ยังเรียกว่า คนกลางได้หรือไม่? ลองมาไล่ลำดับดู?
ภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องเกือบถึงปีที่สาม ประกอบกับวิกฤติศรัทธาของประชาชนไม่ต่ำกว่า 8 เดือนที่ผ่านมานี้ การลาออกของรมต.แรงงานคือปมสุดท้ายที่ทำให้นายกฯปรับใหญ่ครม. เพื่อลดกระแสต่อต้านต่อทีมเศรษฐกิจที่ประสบความล้มเหลวในรัฐบาลนี้ ในที่สุดเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ราชกิจจานุเบกษา ประกาศแต่งตั้งครม.ใหม่ และจะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ 30 พ.ย.นี้
สำหรับการปรับครม.ครั้งนี้ เหมือนมีการปรับถึง 18 ตำแหน่ง แต่เอาเข้าจริงมีหน้าใหม่เพียง 10 คนที่หนักไปทาง รมช.มากกว่า รมว.ที่เหลือยังวนเวียนเล่นเก้าอี้ดนตรีในตะกร้าเดิมที่เต็มไปด้วยอดีตข้าราชการแก่และทหารเกษียณ ปรากฏรัฐมนตรีใหม่ที่เพิ่มเข้ามาไม่ต่างจากเดิมนัก เต็มไปด้วยโควตาข้าราชการแก่และทหาร ขณะที่ ครม.ยี้ เศรษฐกิจยังอยู่ครบ แม้มีรมต.น้ำดีเข้ามาบ้าง 1-2 คนก็ตาม
ที่ว่าเล่นเก้าอี้ดนตรี อาทิ ขยับรมช.เกษตรฯมาเป็นรมช.พาณิชย์ ซึ่งทีแรกเข้าใจว่าจะได้ขึ้นเป็นรมว. ภาพรวมอาจจะดีกว่านี้ แต่เหมือนติดขัดอะไรบางอย่าง? กระทรวงที่พอมีความหวังจึงกลายเป็นว่าต้องสะอึกอีกรอบ ขณะที่กระทรวงเกษตรฯก็มีน้ำดีเข้ามาช่วยงาน คือ นายวิวัฒน์ที่มาเป็นรมช.เกษตรฯ แต่ใครๆ ก็รู้ว่า กระทรวงนี้รมช.ไม่มีอำนาจอะไรเลย อำนาจทั้งหมดอยู่ที่รมว. ส่วนรัฐมนตรีคนเดิมก็ยังมีอำนาจอยู่ เพียงแต่ขยับไปเป็นรองนายกฯ ขณะที่รมว.คนใหม่ตำแหน่งนี้ก็มาจากข้าราชการเกษียณ
ซึ่งกระทรวงเกษตรฯเป็นอีกกระทรวงที่ประชาชนคาดหวังให้เปลี่ยนแปลงเนื่องจากล้มเหลวมาตลอด จากการบริหารงานแบบวิถีราชการที่ไม่เข้าใจประชาชน ที่ผ่านมาพอเผชิญอุทกภัย ภัยแล้ง รัฐก็สั่งให้หยุดทำนาตลอด แต่ไม่มีนโยบายช่วยส่งเสริมให้มีรายได้ ปัญหาหลักคือเกษตรกรเป็นหนี้และไม่มีการส่งเสริมการตลาด มีแต่สั่งห้าม ห้าม ห้าม แต่ไม่หาทางออกให้ เป็นระบบการบริหารคำสั่งที่ใช้กับแทบทุกปัญหา เช่น ปัญหาประมงที่มีแต่บอกให้ยอมรับ แต่ไม่มีแนวทางเยียวยา ราคายางที่ตกต่ำก็เพียงบอกให้ยอมรับ ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงมีผู้เชี่ยวชาญ มีข้าราชการทำงานด้านนี้มานาน และภาครัฐยังมีแนวทางช่วยเหลืออยู่แล้ว ไม่ว่าประกันราคาหรือโครงการรับซื้อยางนำมาทำถนน แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงลมปากเท่านั้น นี่คือสไตล์การทำงานของข้าราชการที่ใช้อำนาจเป็นโจทย์ไม่ใช่ปัญหา และกลายเป็นโจทย์ที่นำมาซึ่งปรากฏการณ์ม็อบเกษตรกรที่เป็นม็อบจากปัญหาแท้จริง แต่การไขก็ยังเป็นการแก้ปัญหาแบบทหารคือ การตวาดใส่ หรือจับกุมผู้เห็นต่าง
เอาเข้าจริง ทั้งหมดล้วนมาจากปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจที่เป็นวิกฤติสำคัญของรัฐบาลนี้ โดยอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ เพราะปัญหาหมักหมมมาไม่ต่ำกว่า 3 ปี แม้มีการเลือกใช้ตัวเลขบางตัว ทำให้มองว่า เศรษฐกิจมีการเติบโต แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ปัญหาปากท้อง ปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะคนระดับรากหญ้า
การซื้อขายหดตัว เศรษฐกิจฝืดเคือง ราคาสินค้าตกต่ำที่ทีมเศรษฐกิจไม่สามารถแก้ได้เลย จีดีพีที่โตขึ้นท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น หลายคนมองว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจส่วนใหญ่อยู่ในมือคนรวยไม่กี่คน ขณะที่รายได้เกษตรกรลดลงเพราะนโยบายลดการเพาะปลูกโดยไม่มีมาตรการช่วยเหลือ จะมีเงินโปรยจากเฮลิคอปเตอร์ก็เป็นครั้งคราวเช่น โครงการสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจน ก็ไม่ทำให้เม็ดเงินของรัฐเข้าไปหมุนเวียนในระบบตลาดแท้จริง เพราะโครงการได้ควบคุมการใช้บัตรอย่างรอบด้าน ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบของรัฐทั้งสิ้น ทั้งร้านค้าธงฟ้า ขสมก. ฯลฯ
กระทั่งโครงการช็อปช่วยชาติ ที่กระตุ้นการใช้จ่ายด้วยการลดหย่อนภาษี เป็นโครงการที่ไม่ตอบโจทย์นัก เพราะผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษี มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งประเทศ อีกทั้งผู้มีกำลังซื้อที่จะไปลดหย่อนภาษีได้ ก็มีไม่มากนัก เป็นสิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายน่าจะทราบดี แต่เหตุใดจึงใช้นโยบายวนเวียน ไม่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน? ที่สุดแล้วพอจะเข้าใจได้หรือยังว่าทีมเศรษฐกิจชุดนี้ผลิตนโยบายหรือดำเนินงานถูกทิศทางที่ควรจะเป็นหรือไม่? หรือต้องรอให้ถึงจุดแตกหักที่ประชาชนเกินจะรับไหว แม้ออกมาเรียกความมั่นใจด้วยการบอกว่าคนจนจะหมดไปจากประเทศ ยิ่งแทงใจคนจนว่า ไม่เคยเข้าใจประชาชนจริงๆ อันที่จริง นโยบายและสิ่งที่พูดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง?
มากไปกว่านั้น สังคมและสื่อเริ่มมองแล้วว่า เป็นเพราะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจชุดนี้เคยมีประวัติเกี่ยวโยงกับกลุ่มการเมืองหรือไม่? เพราะเคยเป็นรัฐมนตรีสังกัดพรรคการเมืองมาก่อน จึงนำนโยบายที่ใครหลายคนมองว่าใกล้เคียงกับนโยบายของบางพรรคในอดีต ที่เน้นจ่ายแต่ไม่เน้นสร้างรายได้ที่แท้จริง คุ้นๆ เหมือนสมัยระบอบทักษิณหรือไม่? หรือนโยบายประชารัฐที่หลายคนมองว่า สุดท้ายก็ไม่ต่างจากนโยบายประชานิยมในยุคที่รองนายกฯคนนี้เป็นมือขวาให้รัฐบาลสมัยนั้น? ทั้งหมดนอกจากจะทำให้ได้ผลลัพธ์รูปแบบเดิมๆ ที่ไม่ได้ ทำให้ความตั้งใจของพล.อ.ประยุทธ์สำเร็จได้แล้ว ยังถูกนักวิชาการ และประชาชนตั้งคำถามถึงการใช้งบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นด้วย จริงหรือไม่? หนำซ้ำรองนายกฯยังถูกสังคมและสื่อวิจารณ์ถึงการพาเหรดเอาคนของตัวเองเข้ามานั่งในครม. เป็นลูกทีมเศรษฐกิจมาตลอด 2 ปีเศษ แต่ผลงานกลับไม่ได้เป็นไปตามความต้องการประชาชนและตามแผนงานในการกระตุ้นเศรษฐกิจเลย ใช่หรือไม่? จนระยะหลังนี้ เริ่มมีกระแสเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนนำผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจที่แท้จริง เก่งจริง เข้ามาแทนที่นักพูด นักทฤษฎี
แต่อย่างไรก็ดี การปรับครม.เศรษฐกิจครั้งนี้ที่ว่ากันว่า ปรับเพื่อหวังลดกระแสยี้รัฐบาล ก็ยังคงไว้ซึ่งหัวหอกทีมเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่ความคาดหวังประชาชนต่อการปรับครม.ครั้งนี้ อยากเห็นครม.ใหม่ที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ส่งผลทั้งประสิทธิภาพและเรียกความเชื่อมั่น แต่การเปลี่ยนแปลงที่ได้รับ กลับเป็นการตั้งข้าราชการเกษียณอายุขึ้นมารับตำแหน่งแทน
ดั่งเช่นรมต.ท่านอื่นๆ ที่ยังอยู่ในครม.ประยุทธ์ 5 ล้วนเป็นข้าราชการเก่า สูงอายุเกินวัยเกษียณ บางคนอยู่มาตั้งแต่ประยุทธ์ 1 รับตำแหน่งรัฐมนตรีร่วม 3 ปี ไม่มีผลงานในมุมที่ดีเป็นที่ประจักษ์นัก มีแต่ภาพตามสื่อที่เป็นประเด็นคลางแคลงใจ ตั้งแต่การจัดซื้อเรือดำน้ำ ปัญหาการจัดการความมั่นคงภายในที่หลายจุดยังล้มเหลว หรือการก่อเหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังจัดการไม่สำเร็จอย่างที่พูด กระทั่งล่าสุดปัญหาความไม่ชัดเจนกรณีการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร แล้วเหตุใดปรับ ครม.หนนี้ถึงไม่สับเปลี่ยนให้คนรุ่นใหม่ได้มีพื้นที่ในการสร้างอนาคตประเทศ? เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการพัฒนา ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทำงานมานานได้พักผ่อน ไม่ต้องปวดหัวกับสื่อ ไม่ต้องหงุดหงิดตอบคำถาม
อีกกระทรวงที่เป็นความหวังคือ กระทรวงคมนาคม เพราะนายกฯประกาศไว้ใหญ่โตตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ เรื่องเมกะโปรเจกท์มากมายทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ได้มีโครงการอะไรเกิดขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรม รมต.ราชการสายเก่า ก็ยังคงรั้งตำแหน่งต่อไปได้
รัฐมนตรีหลายคนที่สังคมเห็นว่าไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร? ยังอยู่ครบเป็นเพียงสลับเก้าอี้ไปมาเท่านั้น นำไปสู่ข้อครหาว่า ประยุทธ์ 5 เป็น ครม.การเมืองที่สุดเท่าที่เคยมีมาของรัฐบาลทหาร ดูจะเป็นการวางหมากเพื่อการเมืองโดยเฉพาะหรือไม่? ดูเป็นการวางรากฐานเพื่ออะไรในอนาคตหรือไม่? เพราะเมื่อลองสำรวจครม.ประยุทธ์ 5 ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ 35 คนแล้ว พบมีอดีตนักการเมืองแฝงอยู่ด้วยไม่น้อย ที่น่าสนใจคือ การเพิ่มเก้าอี้ให้อดีตรัฐมนตรีของพรรคการเมืองหนึ่ง ใช่หรือไม่?
ที่น่าเศร้าใจที่สุด น่าจะเป็นข้อสงสัยเรื่องการปรับครม.เพื่อแลกโควตาเก้าอี้ให้ฝ่ายการเมืองบางกลุ่มเข้ามา จนถึงขั้นต้องปรับออกรัฐมนตรีน้ำดี(ที่มีไม่กี่คน)ออกไป ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่ก่อตั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามา ยังไม่เคยพบรัฐมนตรีคนใด สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งภาคท่องเที่ยวและภาคกีฬาเท่ากับนางกอบกาญจน์
ทั้งๆ ที่เธอทำผลงานได้เป็นอย่างดี ทำให้ไทยขึ้นติดท็อปอันดับต้นๆในการเป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยวระดับโลก และเป็นอันดับ 1 ประเทศที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุดในทวีปเอเชีย อย่างในปี 2559 ที่รายได้รวมภาคการท่องเที่ยวไทยมีมูลค่ากว่า 2.51 ล้านล้านบาท คิดเป็นถึงร้อยละ 17.7 ของจีดีพี หลายคนจึงยังงงๆ ว่า เหตุใดจึงปรับนางกอบกาญจน์ออกจากตำแหน่ง? ทั้งๆ ที่ทำผลงานดีมาตลอด ใช่หรือไม่? อย่างไรก็ตามรมว.คนใหม่ก็ดูมีประสบการณ์มาก่อน แต่ด้วยเบื้องหลังที่มาและการที่ต้องมาเขี่ยรมว.น้ำดีออกไป ทำให้เกิดข้อครหากลับมาที่นายกฯประยุทธ์เอง ถึงเรื่องการวางเกมทางการเมือง เพื่อเตรียมจับมือกับพรรคการเมืองใดหรือไม่?
ต่อจากนี้ จึงคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเป็นห้วงเวลาแห่งการสร้างดุลอำนาจอย่างแท้จริงของ 3 ก๊ก 2 ก๊กคือก๊กที่มีมานานแล้วและเรียกคะแนนเสียงประชาชนได้ดี ส่วนอีกก๊กแม้กำลังแต่งตัวเข้าแข่งขัน แต่ก็เป็นก๊กที่เต็มไปด้วยอำนาจในมือ ที่มีทั้งกำลังพลและอำนาจที่เข้มแข็ง ก๊กนี้ก็แสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้วว่า จะผันตัวจากผู้เป็นกลางมาเป็นผู้เล่นทางการเมือง หลังจากมีความสงสัยเรื่องการไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง การพร้อมจับมือกับพรรคเล็ก? ซึ่งทำให้บทบาทความเป็นคนกลางของนายกฯในสายตาประชาชนลดไปอย่างมาก
และไม่แปลกที่จากนี้ ไม่ว่าก๊กใดก็พร้อมที่จะจับมือกับก๊กอื่นได้เสมอ ทำให้เกมในกระดานครั้งนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้? ทั้งหมดล้วนอยู่ที่การตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียวว่า อยากให้ประเทศเป็นอะไรต่อจากนี้? เพราะวันนี้อำนาจยังอยู่ในมือท่าน โปรดอย่าทำให้ประชาชนหมดศรัทธาไปมากกว่านี้...
“...ความจริงสุนัขที่กัดคน ก็ไม่เห่า...”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาบจอมภพ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี