“ผมจะใช้ทุกมาตรการ จะเอาทุกวิธีที่ประเทศต่างๆเขาใช้ป้องกันการทุจริตแล้วได้ผล มาใช้ ถ้ากรุงเทพฯ ใช้ได้ผล ทั่วประเทศไทยก็จะมีตัวอย่าง ต้องมีคนกล้าทำ” นี่คือประโยคที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ กล่าวกับผมเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ตอนที่ท่านเชิญผมไปคุยเรื่องโอกาสการสร้างเสริมธรรมาภิบาลและต่อต้านคอร์รัปชันในกรุงเทพฯและประเทศไทย เป็นประโยคสั้นๆ แต่หนักแน่น ที่สร้างความหวังให้คนที่ทำงานเรื่องนี้มานานแล้วอย่างผม ซึ่งเคยผิดหวังกับผู้บริหารเมืองและประเทศอยู่มาแล้วหลายครั้ง
เพียงไม่ถึง 4 สัปดาห์ต่อมา เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ก็เกิดเรื่องน่าตกใจและน่าเศร้าอย่างที่สุดนั่นคือการจากไปอย่างกะทันหันของดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียนและนักการเมืองไทยผู้มีอุดมการณ์สูงคนหนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่มีผู้เขียนเรื่องราวยกย่องชื่นชม ดร.สุรินทร์ ในแง่มุมต่างๆมากมาย และการพัฒนาด้านหนึ่งที่ท่านได้ให้ความสนใจอย่างมาก และพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นโครงการที่จับต้องได้จริงมาอย่างต่อเนื่องคือการสร้างเสริมธรรมาภิบาลในสังคมไทย
ที่ทั้งต่อภัสสร์และผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ดร.สุรินทร์ ให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาลมากมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเราทั้งสองคนมีโอกาสสัมผัสจากท่านด้วยตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในต่างกรรมต่างวาระ ตั้งแต่หลายปีก่อนที่ต่อภัสสร์ไปร่วมจัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันให้องค์กรที่ ดร.สุรินทร์ เป็นประธาน จนถึงล่าสุดที่ผมเพิ่งมีโอกาสได้นั่งคุยกับท่านเรื่องการเสริมสร้างธรรมาภิบาลให้เป็นรูปธรรม เมื่อเราสองคนนำเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้รับจาก ดร.สุรินทร์ มาพูดคุยกันก็เห็นตรงกันว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นนอกจากความสนใจของท่านในเรื่องนี้จะไม่เคยลดทอนเลย ความคิดของท่านยังก้าวหน้าและทันสมัยมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
ครั้งแรกที่ต่อภัสสร์มีโอกาสพบกับ ดร.สุรินทร์ คือเมื่อต้นปี 2556 เมื่อได้รับเชิญชวนให้ไปร่วมจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการออกแบบอนาคตประเทศไทย 2020 ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Social Design Lab หรือห้องทดลองออกแบบสังคม โดยมีกระบวนการระดมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและผู้มีประสบการณ์มากในเรื่องดังกล่าว และมีผู้จัดกระบวนการคอยกระตุ้นความคิดและสรุปประเด็น ซึ่ง ดร.สุรินทร์ได้มารับฟังสรุปประเด็นและให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า
1.การต่อต้านคอร์รัปชันต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด โดยต้องอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าร่วมได้ง่ายด้วย ไม่ใช่เพียงประชาสัมพันธ์เชิญชวนเท่านั้น 2.การเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐเป็นเงื่อนไขจำเป็นต่อความสำเร็จ จึงต้องทำอย่างเป็นระบบ และเปิดเผยในเชิงรุก เช่น ใช้นวัตกรรมออกแบบการนำเสนอข้อมูลและ 3.โครงการที่คิดกันขึ้นมานั้น ต้องสามารถทำได้จริง ไม่ใช่ฟังดูดีแต่เป็นไปไม่ได้ คำแนะนำเหล่านี้ได้รับการนำไปประยุกต์และพัฒนาจริง กลายเป็นโครงการต่อต้านคอร์รัปชันหลายโครงการในปัจจุบัน เป็นผลทางความคิดของ ดร.สุรินทร์ ที่เห็นได้จริง
เวลาหมุนอย่างรวดเร็วผ่านมาเกือบ 5 ปี ผมได้รับติดต่อจาก ดร.สุรินทร์ เชิญไปรับประทานอาหารกลางวัน พอไปถึงท่านก็ถามถึงต่อภัสสร์ว่า น่าจะชวนมาด้วยกัน ซึ่งทุกวันนี้ต่อภัสสร์ก็ยังเสียใจอยู่ที่ไม่ได้ไปด้วย ดร.สุรินทร์ขอให้ผมเล่าความคืบหน้างานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันที่ผมทำมาอย่างต่อเนื่องและเล่าประสบการณ์ที่ผมเคยไปช่วยเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.เมื่อหลายปีก่อน
ผมจึงเล่าให้ฟังว่า หลายครั้งที่ได้รับเชิญไปช่วยสร้างระบบธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันในหน่วยงานรัฐ ผู้บริหารหน่วยงานมักขอให้ผมหลีกเลี่ยงการต่อสู้เผชิญหน้ากับขบวนการทุจริตที่ฝังรากลึกมานานมีเงินรายได้พิเศษเกี่ยวข้องจำนวนมาก ทำให้กลายเป็นกลุ่มอำนาจเครือข่ายขนาดใหญ่ในหน่วยงานนั้นๆ เหตุผลหลักคือ การไปแตะต้องกลุ่มคนเหล่านี้จะทำให้ผู้บริหารไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ ทำให้ไม่มีผลงานออกสู่สังคม ยกตัวอย่างการแก้ไขปัญหาการทุจริตเรียกเงินสินบนการออกใบอนุญาตก่อสร้างให้ประชาชน เคยมีโครงการออกใบอนุญาตสร้างบ้านได้ใน 1 วัน แต่ไม่นานก็เงียบหายไป ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข ล่าสุดข้อมูลจากการสัมมนาเรื่องการขอใบอนุญาตก่อสร้างจัดโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) เมื่อ 2 เดือนก่อนก็ยังยืนยันว่าปัญหานี้ยังคงอยู่
พูดมาถึงตรงนี้ ดร.สุรินทร์จึงถามว่าแล้วรู้กันไหม จะแก้ไขระบบอย่างไรตรงไหนได้ ผมบอกว่ามันไม่เป็นความลึกลับแต่อย่างใด รอคนที่จะมากล้านำเท่านั้น ปรากฏว่าสายตาท่านกลับมีประกายขึ้นมา แล้วเสนอว่า จะนำแนวความคิด โครงการต่างๆ โดยเฉพาะนวัตกรรมใหม่ๆที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย มาระดมใช้แก้ปัญหาทุจริตที่กรุงเทพฯก่อน ทำให้สำเร็จเป็นหัวหอกขยายออกไปทั่วประเทศ จากการหารือกันในวันนั้น เราได้ข้อสรุปร่วมกัน 10 ข้อ คือ
1.กรุงเทพฯ มีข้าราชการคุณภาพดี มีประสิทธิภาพ ในอัตราส่วนสูงกว่าหน่วยราชการอื่น ดังนั้นหากตั้งใจจะทำโครงการต่อต้านคอร์รัปชันแล้ว ก็น่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
2.กรุงเทพฯมีการส่งเสริมธรรมาภิบาล เป็นระบบอยู่แล้ว โดยผูกติดกับการประเมินผลงานเพื่อจ่ายโบนัสประจำปี และหากนำมาบังคับใช้อย่างเข้มงวด จะได้ผลดี
3.กรุงเทพฯ จะต้องนำการจัดซื้อจัดจ้างทุกรายการเข้าสู่ ระบบ e-Bidding และ e-Market ตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้ โดยไม่มีข้อยกเว้น
4.ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครจำนวนมากมีความพร้อมและมีความรู้ความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย สามารถเป็นผู้สังเกตการณ์อิสระในการจัดซื้อจัดจ้างได้ดี
5.นอกจากประชาชนที่มีคุณภาพและความพร้อมแล้ว กรุงเทพฯ ยังมีนิสิต นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาอยู่อีกเป็นจำนวนมาก คนรุ่นใหม่ที่มีพลังและมีเวลาเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในโครงการต่อต้านคอร์รัปชันต่างๆ
6.กรุงเทพฯมีรายได้มากอยู่แล้ว และยังสามารถจัดเก็บเพิ่มได้อีก เป็นทรัพยากรสำคัญในการออกแบบและสร้างโครงการที่มีคุณภาพ
7.กรุงเทพฯ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ด้วยระบบการสื่อสารทางอินเตอร์เนตความเร็วสูงที่มีอยู่ผู้ว่าฯ สามารถมีคณะที่ปรึกษาไม่ใช่เพียงแค่ 30-60 คน แต่สามารถมีได้ 100-300 คน แบ่งเป็นคณะที่ปรึกษาด้านต่างๆ 30-60 คณะโดยจัดระบบนำเสนอความคิดเห็นและประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ในระบบ Online meeting ยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่าการประชุมแบบเดิมในห้องประชุมขนาดใหญ่
8.มหานครอื่นๆในโลก มีตัวอย่างการบริหารจัดการที่ดีอยู่แล้วและยินดีให้การสนับสนุนกรุงเทพฯ เช่น กรุงโซลที่มี software บริหาร ติดตาม และการจัดการงบประมาณโครงการก่อสร้างที่ดีระดับโลก กรุงเทพฯ สามารถรับมาใช้ได้เลย
9.กรุงเทพฯมีโอกาสปรับปรุงการให้บริการประชาชนในเขตต่างๆ ได้มากด้วยการใช้ประชาชนในแต่ละเขตร่วมติดตามและรายงานความพึงพอใจการรับบริการอย่างที่โครงการสังคมดี๊ดี สองนาทีง่ายๆ หรือ Citizens Feedback โดยแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) ได้เริ่มทดลองใช้แล้วในบางหน่วยงานรัฐ
10.กรุงเทพฯ ควรเป็นห้องทดลองบ่มเพาะต้นแบบตัวอย่างโครงการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศสามารถนำไปเป็นตัวอย่างใช้ได้ต่อไปมาถึงวันนี้ที่ ดร.สุรินทร์ ได้จากพวกเราไปแล้ว ความหวังที่จะได้เห็นคนเก่งและดีอย่างท่านมาบริหารบ้านเมืองได้ดับสลายไป แต่ความหวังที่จะเห็นบ้านเมืองไทยมีธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งต้องไม่สูญสลายไปด้วย สิ่งที่เราสองคนทำได้ดีที่สุดคือการสรุปความคิดของ ดร.สุรินทร์ มานำเสนอสู่สังคม เพื่อที่เราทุกคนจะสามารถนำไปพัฒนาต่อให้เป็นรูปธรรมได้จริง เหมือนกับโครงการและนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมจำนวนมากที่ท่านได้ทิ้งไว้ให้กับประเทศชาติของเรา
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี