พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงนามในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2561 เรื่อง ให้กรรมการการเลือกตั้งยุติการปฏิบัติหน้าที่ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา 44
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว
ให้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง ยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่คำสั่งมีผลบังคับใช้
กรณีนี้ มีประเด็นสำคัญที่น่าจะพินิจพิจารณากันอย่างจริงจัง
1. ฟังความตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ข้างต้น ระบุเหตุผลที่ต้องปลด รศ.สมชัย เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในกรณีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับกระบวนการและกําหนดการการเลือกตั้ง ด้วยถ้อยคําที่ไม่สมควร ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความสับสน อันจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของ กกต. และการจัดการการเลือกตั้งให้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี
นอกจากนี้ ยังให้เหตุผลถึงประเด็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยว่า นายสมชัยได้สมัครเข้ารับการ
คัดเลือกให้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง
โดยไม่ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการการเลือกตั้งเสียก่อน
ถือเป็นการกระทําที่เข้าข่ายเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ จะส่งผลต่อความถูกต้องและเป็นธรรมในการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมมาดํารงตําแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง
จากเหตุและผลข้างต้น หากเข้าใจปูมหลังของ รศ.สมชัย จะทราบว่า มีพื้นฐานเป็นนักวิชาการ เคยสอนหนังสือในคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยทำงานเป็นเอ็นจีโอ มูลนิธิองค์กรกลาง มายาวนาน
ซึ่งธรรมชาติของนักวิชาการและเอ็นจีโอ คือ มีการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนเป็นอาวุธ
เพราะสถานะของเอ็นจีโอก็ดี นักวิชาการก็ดี ไม่มีเครื่องมืออื่น ไม่มีอาวุธร้ายแรงใดๆ
คงได้แต่แสดงความเห็นเพื่อให้ทางเลือกสังคม
เมื่อเข้าไปอยู่ในองค์กรอิสระ ซึ่งมีบทบาท อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ แตกต่างออกไป แต่ยังติดธรรมชาตินักวิชาการ เอ็นจีโอ ก็อาจจะถูกมองว่าช่างพูด หรือพูดมากไป
ถ้าเข้าใจ คงจะไม่แปลก จึงอยู่ที่สังคมหรือคนจะมองว่า วัฒนธรรมขององค์กรอิสระเป็นอย่างไร องค์กรอิสระของไทยเป็นวัฒนธรรมราชการ ไม่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ไม่วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา ซึ่งไม่ใช่วัฒนธรรมองค์กรอิสระอย่างแท้จริง อาจจะด้วยที่คนมาทำงาน ไม่ว่าจะเป็นกรรมการ ส่วนมากก็ข้าราชการเก่า หรือตัวเจ้าหน้าที่ก็เป็นข้าราชการเก่าเสียส่วนมาก วัฒนธรรมวิจารณ์ผู้ที่มีอำนาจสูงกว่า หรือมีตำแหน่งในวงราชการระดับสูง มักจะไม่ทำกัน เพราะฉะนั้น การแสดงบทบาทและความคิดเห็นของ รศ.สมชัย
จึงอาจถูกมองว่าเป็นคนแปลกแยก
ก่อนหน้านี้ ก็เคยมีคนที่ตกที่นั่งคล้ายๆ กัน เช่น คุณสุภิญญา กลางณรงค์ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ในองค์กรอิสระ กสทช. หรือแม้แต่นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต. ก็ล้วนแต่เป็นคนที่มีบุคลิกชอบแสดงความคิดเห็น
วิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อมวลชน สื่อจะชอบคนแบบนี้ เพราะสามารถใช้เป็นแหล่งข้อมูล แคะเอาข่าว เอาประเด็นไปขยายความต่อ
ด้านหนึ่ง คนเหล่านี้เชื่อในการให้ข้อมูลแก่สาธารณะ คล้ายๆ ที่นักวิชาการและเอ็นจีโอชอบทำ กึ่งๆ จะใช้สื่อเป็นเครื่องมือ แต่อีกด้านหนึ่ง คนเหล่านี้ก็ถูกสื่อใช้เป็นเครื่องมือ
หรือตกเป็นเหยื่อของสื่อบางกลุ่มเช่นกัน
อันที่จริง บุคคลเมื่อเข้าไปดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ก็ควรตระหนักในบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ เพราะเมื่อมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ก็ไม่สมควรที่จะพูดแสดงความคิดเห็นในเชิง
คาดการณ์หรือวิพากษ์วิจารณ์มากเกินไป หันไปใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย บทบาทควรจะต้องเปลี่ยนไปจากสมัยเป็นเอ็นจีโอ หรือนักวิชาการ
ขณะเดียวกัน ในยุคนี้ เป็นยุครัฐบาลทหาร ผู้มีอำนาจมีพื้นฐานธรรมชาติที่รับไม่ค่อยได้กับวัฒนธรรมวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งคนที่ถูกมองว่าเป็นผู้น้อยวิจารณ์ผู้ใหญ่ ยิ่งทำให้มีขีดจำกัดมาก
ส่วนในคำสั่งเดียวกัน ที่มีการใช้มาตรา 44 ต่ออายุให้
กกต.ที่มีอายุครบเจ็ดสิบปี ให้คงอยู่ในตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่า กกต.ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ก็เป็นประเด็นต่อเนื่องกัน เพราะเมื่อปลด รศ.สมชัยออกไปแล้ว ในอนาคตอันใกล้ หาก กกต.ที่เหลือจะต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุอายุเกิน 70 ปี ก็จะเหลือ กกต.ไม่ครบองค์ประกอบในการทำหน้าที่ตามกฎหมาย
2. การใช้มาตรา 44 ปลดผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ สร้างปัญหาทางกฎหมายตามมา
หัวหน้า คสช. พลเอกประยุทธ์ อีกสถานะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร
หลักการตามรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ กกต.เป็นองค์กรอิสระ คือ อิสระจากแทรกแซงของฝ่ายบริหาร
จริงอยู่ หลังรัฐประหาร คสช.เป็นรัฏฐาธิปัตย์
มีอำนาจเต็มที่ ก็สามารถปลด หรือให้ใครอยู่ในตำแหน่งต่อ
แต่เมื่อมีรัฐธรรมนูญ 2560 เกิดขึ้นแล้ว กำหนดให้ กกต.เป็นองค์กรอิสระ ปราศจากการแทรกแซงฝ่ายบริหาร การ
กระทำดังกล่าวจึงถูกเพ่งเล็งว่า ฝ่ายบริหารแทรกแซงองค์กรอิสระ หรือไม่?
ยิ่งมีข่าวคราวว่า พลเอกประยุทธ์อาจจะดำเนินงานทางการเมืองในอนาคต แม้ไม่แน่ว่าจะมีชื่อในบัญชีของพรรคการเมืองใดในการลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ แต่ก็ยังไม่งดงามที่จะมองเห็นว่าบุคคลที่อาจมีส่วนได้เสีย
ไปแทรกแซงองค์กรอิสระ กกต. ที่มีส่วนสำคัญในการจัดการเลือกตั้ง รวมถึงชี้ขาดรับรองผลการเลือกตั้ง
ในแง่ของผลประโยชน์ทับซ้อน ก็อาจถูกมองว่ามีปัญหาไม่น้อยไปกว่ากรณี รศ.สมชัยมีส่วนได้เสียในการไปสมัครเลขาธิการ กกต. เพราะรศ.สมชัยรู้ตัวอยู่แล้วว่า จะไม่ได้เป็น กกต.ต่อในอนาคตแน่นอน เพราะกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ออกมาระบุให้เซตซีโร่ใหม่ และยังได้แจ้ง กกต.ที่เหลือ ซึ่งมีอำนาจในการเลือกสรรเลขาธิการ กกต. ว่าอย่าได้เกรงใจ ซึ่งอาจจะดูดีกว่าที่พลเอกประยุทธ์กระทำในขณะนี้ด้วยซ้ำ
3. การที่หัวหน้า คสช. และนายกฯ ซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกัน ไปแทรกแซงองค์กรอิสระ ทำให้นึกถึงเรื่อง ป.ป.ช.
หากการจัดการกับ กกต.เช่นนี้ สามารถกระทำได้ ย่อมจะทำให้ ป.ป.ช.เกิดความกริ่งเกรงหรือไม่
ป.ป.ช.อาจจะประหวั่น ไม่กล้าตรวจสอบคนในรัฐบาล อย่างตรงไปตรงมา
นั่นจะยิ่งตอกย้ำความไม่อิสระจริงขององค์กรอิสระในยุคนี้
คดีนาฬิกาหรูของพลเอกประวิตร ยังไม่ชัดเจน ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า องค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.จะวางใจได้หรือ? ประธาน ป.ป.ช.เคยเป็นลูกน้องคนสนิทของพลเอกประวิตร ยิ่งทำให้คนไม่ไว้วางใจมากขึ้น
4. ผมคิดว่า เป็นความผิดพลาดของฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ที่ให้คำแนะนำพลเอกประยุทธ์ ให้ใช้มาตรา 44 ดำเนินการกับ รศ.สมชัย
คนที่อยู่ในอำนาจ หรืออยู่ใกล้อำนาจนานๆ มักขี้รำคาญคนอื่น
กระทั่งว่าใช้อำนาจตามมาตรา 44 ไปแทรกแซงองค์กรอิสระ
ซึ่งในทางกฎหมาย ย่อมก่อให้เกิดประเด็นกฎหมายเพิ่มเติม ว่าเมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้ว กำหนดให้องค์กรอิสระแยกอำนาจออกไปจากฝ่ายบริหาร เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และมาตรา 44 เป็นการใช้อำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญเดิม ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560 อนุญาตให้ใช้มาตรา 44 ได้ในช่วงเวลานี้ แต่มาตรา 44 ย่อมมีศักดิ์และสิทธิ์เล็กกว่ารัฐธรรมนูญ 2560
เปรียบเสมือนว่า มาตรา 44 มีศักดิ์เทียบเท่าพระราชบัญญัติ ดังนั้น จะใช้มาตรา 44 ไปล้มแม่ คือ หักล้างเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้บรรดา กกต.
ป.ป.ช. เป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร ไม่น่าจะกระทำได้
เชื่อว่า หากมีผู้นำเรื่องขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งประเด็นของการใช้อำนาจมาตรา 44 ผิดหลักการ เสมือนหนึ่งใช้กฎหมายลูกฆ่าแม่ และประเด็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของผู้ใช้ด้วย ว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งสองประเด็น
คสช.ไม่ควรนิ่งนอนใจ แต่ควรจะหาหนทางแก้ไขโดยด่วน ก่อนที่เรื่องจะลุกลามต่อไปมากกว่านี้
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี