ในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนแรกของปี 2561 สังเวยไปแล้ว 6 ชีวิต ให้กับ “โรคพิษสุนัขบ้า” มีการประกาศพื้นที่ระบาดใน 25 จังหวัด กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา สุรินทร์ ชลบุรี อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด จนหลายคนคงแปลกใจกันว่า ทำไมยุคนี้ โรคพิษสุนัขบ้า กลับมาระบาดอีก
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคร้ายแรงมากในสมัยก่อน มีผู้เสียชีวิตสูงสุดถึง 370 ราย ในปี 2523 แต่หลังจากนั้นก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปี 2555 มีผู้เสียชีวิต 4 ราย, ปี 2556 มี 7 ราย, ปี 2557 มี 6 ราย, และปี 2558 มี 5 ราย
ดูเหมือนกราฟผู้เสียชีวิตจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2559 สถานการณ์กลับพลิก มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 14 ราย และในปี 2560 มีผู้เสียชีวิต 11 ราย
การระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า คราวนี้หากมองลึกลงไป จะพบความพิลึกของระบบราชการไทยอยู่ไม่น้อย
ในช่วง 10 กว่าปีมานี้ ก่อนรัฐประหาร 2557 เราก็มักจะคุ้นเคยกับการเดินฉีดยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโดยเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) หรือนักการเมืองท้องถิ่น อบต. เทศบาล สก. สข. เพราะหลังประกาศแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปี 2543 เปิดโอกาสให้มีผู้บริหารท้องถิ่นซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน เข้ามาดูแลงบประมาณและมีบทบาทหลักในการบริหารท้องถิ่น
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ภาพการพึ่งพิงหน่วยงานราชการส่วนกลาง อย่างนายอำเภอหรือกรมปศุสัตว์ลดน้อยลง
เพราะ อปท. โดยผู้บริหารที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนมีบทบาทมากขึ้น รวมถึงบทบาทในการป้องกันโรคระบาดอย่างพิษสุนัขบ้า จนทำให้การระบาดของพิษสุนัขบ้าและผู้เสียชีวิตลดลง นับตั้งแต่มี อปท. มาช่วยดำเนินการ
อย่างไรก็ดี หลังรัฐประหาร ปี 2557 เป็นที่รู้กันว่าบทบาททางการเมืองของท้องถิ่นลดน้อยถอยลง ประกอบกับ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เริ่มมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณของ อปท. อย่างเข้มงวด จนเกิดกรณีที่มีหนังสือถึงเทศบาลตําบลสุรนารี จ.นครราชสีมา ชี้ว่าการจัดซื้อและดำเนินการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าไม่ใช่อำนาจ “อปท.” แต่เป็นอำนาจของ “กรมปศุสัตว์” โดยตีความจากมาตรา 17 พ.ร.บ.โรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 และมีหนังสือเวียนให้ อปท. ทั่วประเทศรับทราบ
แต่เทศบาลตำบลสุรนารีก็ได้ยื่นเรื่องสู้ ขอกรมปศุสัตว์ส่งตีความให้เกิดความชัดเจนแต่กว่ากรมปศุสัตว์จะยื่นให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความก็ต้นปี 2558 ไปแล้ว
สตง. ระบุว่า การตรวจสอบที่เกิดขึ้น ไม่ได้จงใจให้เกิดความเสียหาย เพราะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีหนังสือเวียนไปถึง อปท. ทั่วประเทศ ในเดือนมิถุนายนปี 2558 แล้วว่าให้อปท. จัดซื้อและฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าได้ ระหว่างรอผลวินิจฉัยจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
แต่ อปท. ส่วนใหญ่ ก็มีความกังวลว่าจะมีความผิดเช่นเดียวกับเทศบาลตำบลสุรนารี จึงไม่ได้ดำเนินการตามที่มีหนังสือแนะนำมา เพราะรอความชัดเจนจากคณะกรรรมการกฤษฎีกา
จนในที่สุด ใช้เวลากว่า 1 ปี คือต้นปี 2559 คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงมีข้อวินิจฉัยว่า “อปท.” ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันและระงับโรคติดต่อ สามารถจัดซื้อและดำเนินการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นเดียวกับ “กรมปศุสัตว์”
แต่พอได้ข้อสรุปชัดเจนแล้ว ก็ยังเป็นช่วงที่ สตง. มีการตรวจสอบเกี่ยวกับการจัดซื้อวัคซีนพิษสุนัขบ้า ทั้งกรณีวัคซีนปลอม วัคซีนค้างสต๊อกเสื่อมสภาพ จน อปท. ส่วนใหญ่ไม่กล้าดำเนินการเกี่ยวกับจัดซื้อวัคซีนเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจนเท่าทุกวันนี้
เหตุการณ์เหล่านี้กินเวลากว่า 3 ปี ที่ อปท. ไม่กล้าใช้งบประมาณเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ส่วนกรมปศุสัตว์เองซึ่งเป็นหน่วยงานจากราชการส่วนกลาง ก็ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะดูแลพื้นที่ได้ทั่วถึงเลยทำให้ปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าสะสมจนระบาดหนักในปี 2559, 2560, และ 2561
จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาหลายปีจนเกิดปัญหาอยู่ตอนนี้ ก็ขอให้กำลังใจทั้ง 2 ฝ่าย ตั้งแต่ “ท้องถิ่น” ทุกท้องถิ่น หากมั่นใจว่าได้ทำในสิ่งที่สุจริตประชาชนได้ประโยชน์ ก็ขอให้ทำต่อไป
อย่าหวั่นไหว
และให้กำลังใจ สตง. ที่กำลังเดินหน้าตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่ขอฝากกันซักนิดว่า นอกจากการตรวจสอบอำนาจและวัตถุประสงค์ของการใช้งบประมาณแล้ว “ขอให้พิจารณาถึง ประสิทธิผลของงานที่เกิดขึ้นด้วย” อย่าปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่กันเพียงอย่างเดียว เพราะจะเกิดความล้มเหลวในเป้าหมาย เพราะหัวใจสำคัญของทั้งฝ่ายทำงานและฝ่ายตรวจสอบ คือการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ของประชาชน
ผมจึงขอให้ “โรคพิษสุนัขบ้า” เป็นอุทาหรณ์เตือนใจของ “ระบบราชการไทย”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี