กรมประชาสัมพันธ์ โดย พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้เสนอ คสช.ออกคำสั่ง มาตรา 44 ให้สถานีโทรทัศน์ NBT มีโฆษณาได้ ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการโฆษณามาก-รายได้มาก แต่ต้องการจูงใจให้ผู้ผลิตฝีมือดีเข้ามาทำรายการ
แม้จะเข้าใจดีว่า ขณะนี้ กรมประชาสัมพันธ์ได้รับงบประมาณปีละราว 240 ล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่มาก แต่การจะให้สถานโทรทัศน์ NBT พัฒนาไปในทิศทางเดียวกับโทรทัศน์ธุรกิจที่มีมากช่องอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสม...เพราะอะไร?
1.ขณะนี้ สถานีโทรทัศน์แบบธุรกิจ มีโฆษณาได้ มีมากหลายสิบช่อง ทั้งระบบโทรทัศน์ดิจิทัล และระบบโทรทัศน์ดาวเทียม และยังมีโทรทัศน์จากต่างประเทศอีกจำนวนมาก
NBT ของกรมประชาสัมพันธ์จะมีดีอะไร จะมีอะไรแตกต่างไปจากโทรทัศน์ระบบดิจิทัลต่างๆ ที่เขามีโฆษณาได้มากกว่า เต็มที่กว่า เขาก็กำลังจะยากลำบาก และจะปิดตัวเองอยู่แล้วจำนวนมาก
2. ปัจจุบัน ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมแบบแผนชีวิต ไม่ดูโทรทัศน์มากเหมือนแต่ก่อน ไม่จำวันเวลาออกอากาศของรายการต่างๆ เพราะสามารถดูย้อนหลังเมื่อใดก็ได้ ดูได้ทางอินเตอร์เนตและ
แอพพลิเคชั่นต่างๆ นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ทีวีธุรกิจดิจิทัลและทีวีดาวเทียมปัจจุบันขาดทุนกันอย่างมาก จะพอมีได้กำไรก็แต่ทีวีที่จับตลาดชาวบ้าน ที่ยังไม่เข้าถึงระบบอินเตอร์เนต ไวไฟ อย่างสะดวก
เราจึงเห็นทีวี 3-4 ช่องที่อยู่รอดโดยเน้นละคร เกมโชว์ ประกวดร้องเพลง จำอวด เป็นทีวีบันเทิง
อย่างนี้ NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ จะประสบความสำเร็จแข่งกับทีวีสาระอื่นๆ ที่แย่งโฆษณากันอย่างมาก ได้หรือไม่?
หรือจะต้องเปลี่ยนตัวเองต่อไปเป็น ทีวีธุรกิจบันเทิง เพื่อความอยู่รอดเช่นนั้น จึงมีคำถามว่า เราจะมีทีวีของกรมประชาสัมพันธ์ไปเพื่ออะไร?
3. สถานีโทรทัศน์ระบบดิจิทัล 20 กว่าช่อง กำลังประสบปัญหาหนักมาก เพราะงบโฆษณาของบริษัทห้างร้านต่างๆ แบ่งงบโฆษณาทีวีอินเตอร์เนต เช่น เฟซบุ๊คไลฟ์ ยูทูบ และงบประมาณที่เหลือก็แย่งกันระหว่างสถานี 20 กว่าสถานี และทีวีดาวเทียมแข่งขันอีกด้วย
การล้มหายตายจากของทีวีดิจิทัลก็เกิดขึ้นแล้ว ที่กำลังดิ้นขายกิจการก็มาก ซึ่งขณะนี้ ธุรกิจขนาดยักษ์ใหญ่ก็เริ่มเข้ามาเป็นเจ้าของเพื่อสนับสนุนสินค้าในเครือ และเป็นกระบอกเสียงทางสังคมการเมือง
NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ ของรัฐ กำลังจะหันทิศทางไปแข่งขันประกอบกิจการกับสถานีที่เขากำลังหนีตายกันอยู่ แล้ว NBT จะอยู่รอดหรือไม่ และเจริญพัฒนาไปดังที่มุ่งหวังไหม?
4. NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการประเภทที่ 3 เป็นช่องสาธารณะ ไม่มีโฆษณา จึงไม่ต้องประมูลแข่งขันจ่ายใบอนุญาตเหมือนสถานีเอกชนรายอื่นๆ
คำถาม คือ ถ้าได้รับการจัดสรรคลื่นและใบอนุญาตแล้ว จะใช้อำนาจ คสช. ตามมาตรา 44 ไปเป็นทีวีเฉกเช่นเดียวกับทีวีธุรกิจที่สามารถมีโฆษณา แย่งชิงโฆษณา ผลิตรายการตามแต่ธุรกิจโฆษณาจะกำหนดหรือเห็นชอบ หลักการของการจัดสรรคลื่นความถี่จะมีไว้ทำอะไร
และจะทำให้สถานีดิจิทัลทีวีอื่นๆ อ้างเหตุว่ารัฐ โดย คสช. ผิดเงื่อนไขการประมูล หรือจัดสรรคลื่นความถี่ เพราะรัฐเข้าแข่งขันกับทีวีธุรกิจเอกชน โดยไม่ต้องจ่ายค่าคลื่นความถี่ และใบอนุญาตเหมือนสถานีอื่นๆ
ระวังจะเข้าอีหรอบคล้ายๆ บทเรียนกรณีไอทีวี ที่เคยอ้างเรื่องการให้ช่อง 11 สามารถมีโฆษณา นำมาเป็นเหตุเรียกร้องชดเชยความเสียหาย ก่อนจะถูกใช้เป็นข้ออ้างแก้สัญญาสัมปทานไอทีวีภายหลัง
5.ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ คือ ช่อง NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนดู หลายคนจำไม่ได้ว่ามีรายการอะไรบ้าง ส่วนหนึ่งก็เพราะคนดูทีวีน้อยลง ส่วนหนึ่งก็ดูทีวีช่องอื่นๆ ที่มีมากอยู่แล้ว
ยิ่งคนดูหวาดระแวงว่าเป็นทีวีของรัฐ ของกรมประชาสัมพันธ์ คนดูก็ไม่เชื่อถือ ไม่ติดตามดู
แนวทางการพัฒนา NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ จึงไม่ใช่ทิศทางการแปลงทีวีสาธารณะไปเป็นทีวีธุรกิจ แต่มีทางเลือก 3 ทาง
ประกอบด้วย
ทางเลือกที่หนึ่ง แปลง NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ให้เป็นทีวีสาธารณะอย่างแท้จริง บริหารควบคุมโดยองค์กรอิสระอย่างแท้จริง เฉกเช่นเดียวกับทีวีสาธารณะในหลายประเทศที่ปลอดอิทธิพล
ทางการเมืองจากรัฐบาลในยุคต่างๆ สมัยต่างๆ และปลอดโฆษณา
แต่จะต้องนำรายได้จากการประมูลใบอนุญาตสถานีทีวีธุรกิจมาอุดหนุน และอาจเก็บภาษีพิเศษจากรายการละคร เกมโชว์ ต่างๆ เพื่อมาอุดหนุนรายการสาระที่ไม่มีโฆษณา
ขอเน้นว่า ทั้งนี้ต้องปลอดอิทธิพลจากรัฐบาลทุกประเภท เพราะถ้ายังให้ราชการดูแลและบริหาร ก็จะไม่มีทางปลอดจากการเมือง
ทางที่สอง ทบทวนเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์เดิมของการก่อตั้ง ให้เป็นโทรทัศน์เพื่อการศึกษาอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพราะการศึกษาในระบบโรงเรียนของคนเราสั้นนัก เพียงระหว่างอายุ 3-23 ปี คือ 20 ปี จากอายุขัยเฉลี่ย 80 ปี และถ้าหักเวลาที่นักเรียนอยู่นอกโรงเรียนอีกกว่าครึ่งหนึ่งออก การศึกษาในระบบโรงเรียนจะมีสัดส่วนต่ำกว่า 1 ใน 8 ส่วนของชีวิต
NBT ต้องคิดที่จะเป็นทางเลือกให้ข่าวสารข้อมูลและนำเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาประกอบ เพื่อผลิตกระตุ้นให้คนไทยได้ค้นคว้าหาทางเลือกต่างๆ ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือความเห็น อะไรคือข่าวเท็จ ข่าวจริง มุ่งหวังที่จะเห็นการศึกษาตลอดชีวิตที่ไม่ใช่เพียงข้อมูล แต่หมายรวมถึงการสร้างกระบวนการคิดและจินตนาการของคนไทยในอนาคต
ทางเลือกที่สาม ถ้าไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ พฤติกรรมของผู้บริโภคใหม่ NBT ก็ควรยุติบทบาท ปิดสถานี
ผมคิดว่าคนไทยจะไม่รู้สึกขาดอะไรไปมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับการประหยัดงบประมาณปีละ 240 ล้านบาท
และจะต้องคิดทบทวนด้วย ว่าประเทศไทยยังควรมีหน่วยงานประชาสัมพันธ์กลางของส่วนรัฐ ที่เรียกว่า “กรมประชาสัมพันธ์” อีกต่อไปหรือไม่ เพราะทุกกระทรวง ทุกกรม ทุกรัฐวิสาหกิจ เขาก็มีหน่วยงานประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กรอยู่แล้ว และสถานีทีวี วิทยุ ก็มีมากมายอยู่แล้ว
เราจะได้นำงบประมาณของกรมประชาสัมพันธ์ทั้งหมดประมาณ 2,500 ล้านบาทต่อปี และคิดเอาบุคลากรของกรมประชาสัมพันธ์ ทั้งในส่วนกลางและส่วนต่างจังหวัด ที่มีความรู้ความสามารถไปทำงานอื่นๆ เพื่อประโยชน์ของสังคมต่อไป
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี