ขอแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ท่านสามารถพัฒนาตนเอง จาก “คนกลาง” ที่เข้ามาหยุดปัญหาความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงของคนในชาติ มาสู่การเป็น “นักการเมือง” ที่รู้จักใช้ “ทรัพยากรของบ้านเมือง” เพื่อปูทางสู่อำนาจในวันข้างหน้าเป็นแล้ว
ท่านคือ “นักการเมือง” (ในแบบที่ท่านเคยด่าแบบเหมารวมว่าไม่ดี ว่าสร้างปัญหา) คนหนึ่งแล้ว
ท่านอาจจะทำตาแป๋วแหวว ทำทีงุนงงเล็กน้อยพอน่ารักว่า อะไรวะ แค่เอานักการเมืองพี่น้องคู่หนึ่งมาทำงานด้วย มันจะอะไรกันนักกันหนา
เอาอย่างนี้ ผมนี่แทบไม่เคยอ้างอิงหลักการความคิดของคนคนนี้มาก่อน แต่ครั้งนี้ต้องขอหยิบยก คำให้สัมภาษณ์ของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มาเป็นตัวตั้งของการเสนอความคิดผ่านบทความนี้ ถึงท่านนายกรัฐมนตรี และประชาชนคนอ่าน “แนวหน้า” ดูสักครั้ง
วันที่ 20 เม.ย. 2561 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่งตั้งแกนนำพรรคพลังชล เข้ามาช่วยงาน คสช.ว่า การดึงอดีตนักการเมืองหนุนรัฐบาล สะท้อนถึงพยายามของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่กำลังตั้งพรรคการเมืองในทำเนียบรัฐบาล แล้วดึงนักการเมืองเข้าทำเนียบฯ เพื่อร่วมมือกัน
“ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไปหลังการเลือกตั้ง ซึ่งทำมาตั้งแต่การทำลายพรรคการเมืองเดิมให้อ่อนแอ สร้างปัญหาความยุ่งยาก ทำให้จำนวนสมาชิกน้อยลง มีอุปสรรคในการสื่อสารกับสมาชิก กับประชาชน โดยเฉพาะเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศ ขณะเดียวกันก็สร้างความได้เปรียบให้กับพรรคการเมืองใหม่เฉพาะบางพรรค”
นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์กับพรรคพวก จะต้องทำให้ได้ คือ ต้องมีเสียง สส. ไม่น้อยกว่า 251 เสียงในสภาฯ เมื่อมองแล้วว่ายังไม่มีพรรคการเมืองเดิมรับปากชัดเจน จึงต้องหาวิธีใหม่ ทำให้พรรคการเมืองเก่าอ่อนแอลง และบีบให้บางส่วนต้องไปร่วมมือด้วย มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนทั้งหมด รวมกับการไม่ยอมปลดล็อกให้พรรคการเมือง และใช้งบประมาณในการหาเสียงทางอ้อมที่ทำอยู่
“เขาเริ่มคำนวณแล้วว่าการเป็นนายกฯคนนอกมันยากกว่า คือ ต้องรวบรวม สส.ให้ได้ 251 เสียงขึ้นไปเพื่อรวมกับ 250 สว. จึงเปลี่ยนมาให้มีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ไปอยู่ใน 1 ใน 3 รายชื่อของพรรคการเมืองแล้ว ขอแค่ได้สส. มากกว่า 126 เสียง เพื่อรวมกับ 250 สว. เป็น 376 เสียง ให้ได้เกินครึ่งของสมาชิกสองสภา 750 คน เพื่อใช้ในการโหวตนายกฯ ให้ได้ก่อน หลังจากมีตำแหน่งนายกฯ แล้ว การดึงดูดนักการเมืองเข้ามาร่วมสนับสนุนรัฐบาลให้ได้ สส. เกิน 250 เสียง ก็จะเป็นการหาทางออกที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ได้ง่ายขึ้น”
นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า สิ่งที่ทำๆ อยู่ตอนนี้ ก็เพียงแค่เปลี่ยนแผนจากเดิมที่คิดว่าจะได้เป็นนายกฯ คนนอกได้ง่ายๆ เป็นนายกฯ ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง และการตั้งพรรคกันในทำเนียบ โดยมีรองนายกฯ มีรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค มันก็เป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินเพื่อสร้างความนิยมให้กับพรรคการเมืองของตนเอง ที่จะช่วยให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ
“ทั้งหมดนี้จึงไม่มีเหตุผลและไม่มีความชอบธรรมทั้งสิ้น จะปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมือง ทำลายระบบการเมือง ทำลายพรรคการเมืองยังไงก็ได้ เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์กับพวกได้สืบทอดอำนาจยาวๆ ไปเท่านั้นเอง เป็นเรื่องน่าละอายมาก”
นายจาตุรนต์ ยังปฏิเสธด้วยว่าการไปเล่นกอล์ฟกับตระกูลสะสมทรัพย์ว่าไม่มีนัยทางการเมือง หรือเพื่อไปดึงไปเจรจาความทางการเมืองอะไร เพียงแต่โดนขู่ว่าอาจจะมีเรื่องทำผิดกฎหมาย
ให้ไปดูว่ามีการดำเนินคดีหรือไม่ หลายคนที่ตอนแรกว่าจะไม่ไปเล่นก็เลยไปเล่นกอล์ฟกันมากขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าประเทศนี้ไม่มีกฎหมายห้ามคนไปเล่นกอล์ฟ
“เรื่องกลุ่มก๊วนทางการเมืองไม่ใช่เรื่องที่เราวิตก ที่น่าวิตก คือกระบวนการที่ทำอยู่เป็นการทำลายระบบรัฐสภา ทำลายระบบการเมือง ซึ่งเป็นการทำลายประเทศชาติในระยะยาว” นายจาตุรนต์ กล่าว (ที่มา : แนวหน้าออนไลน์)
เราลืมชื่อคนพูดกันไปก่อนนะ ว่าเคยสมคบกับ นายทักษิณ ชินวัตร กระทำการกว้านซื้อ รวบรวม สส. เก่าๆ เพื่อชัยชนะทางการเมือง แล้วเมื่อยังไม่ชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็มีการ “ควบรวมพรรคการเมือง” เพิ่มเติมเข้ามาอีกในภายหลัง และมีพฤติกรรม “ปกครอง” คนเหล่านั้น “ใช้งาน” คนเหล่านั้นแบบไหนมาบ้าง เอาเป็นว่า ดี-ชั่วอย่างไรที่ผ่านมา จาตุรนต์เคยออกมาเจรจาพาที “ปกป้องหลักการที่ถูกต้อง” เยี่ยงที่ทำอยู่ตอนนี้หรือไม่ ช่างหัวมัน!!
สมมุตินะครับ สมมุติ สมมุติว่าสุนัขตัวหนึ่งคาบคัมภีร์วิ่งมา แม้จะอยู่ใน “ปากหมา” แต่คัมภีร์ก็ยังเป็นคัมภีร์ใช่ไหมครับ เราก็มีหน้าที่นำปัญญาของเรา ไปพิจารณาเนื้อหาของคัมภีร์ มากกว่าพิรี้พิไรอยู่กับ “น้ำลายหมา” ที่แปดเปื้อนคัมภีร์นั้น
เรื่องที่เราต้องนำปัญญามาขบคิดกันก็คือ จริงไหม ที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กับแม่น้ำสายต่างๆ ของเขา ได้ร่วมกันกระทำให้เกิดสิ่งที่นายจาตุรนต์กล่าวหา คือ “การทำลายพรรคการเมืองเดิมให้อ่อนแอ สร้างปัญหาความยุ่งยาก ทำให้จำนวนสมาชิกน้อยลง มีอุปสรรคในการสื่อสารกับสมาชิก กับประชาชน โดยเฉพาะเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศ ขณะเดียวกัน ก็สร้างความได้เปรียบให้กับพรรคการเมืองใหม่เฉพาะบางพรรค”
มาแกะดูกันทีละเรื่อง
1) มีคำสั่ง คสช. ให้ทุกพรรคการเมือง “หยุดการเคลื่อนไหว”
ในระยะแรก มันคือ “คำตอบ” ของสถานการณ์ความสับสนภายในประเทศ ใช่หรือไม่ ในระยะแรก ผมถือว่า คสช. ทำถูกแล้ว เพราะการเผชิญหน้ากันของคนในประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มี “พรรคการเมือง-นักการเมือง” เข้ามาปลุกปั่น ทำให้เกิดความคุคลั่ง รุนแรงเกิดขึ้น ผสมผสานอยู่กับการเคลื่อนไหวโดยบริสุทธิ์ใจของประชาชนบางกลุ่ม เพื่อปกป้องหลักการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เช่น กปปส. ซึ่งไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตาย ไปกับคนเสื้อแดง นปช. แต่กลับออกมากดดันรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ลุแก่อำนาจ เอาเสียงส่วนใหญ่ที่ “ยึดกุมสภา” ไปหาประโยชน์ ทรยศประชาชน ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ให้ นปช. ตายเปล่า ไม่ได้รับความยุติธรรม พูดง่ายๆ ว่าตายแล้วก็ตายไป ฉันออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ฆาตกร แถม “ยัดไส้” นิรโทษกรรมให้คดีทุจริตคอร์รัปชั่นด้วย ถามว่าใครได้ประโยชน์ครับ ถ้าไม่ใช่ “นายใหญ่” ของพวกเขา แต่ประชาชนอีกพวกก็กลับถูกยุยงปลุกปั่นให้จงเกลียดจงชังคนพวกนี้ เพียงเพราะ “อยู่คนละสี” สนับสนุนพรรคการเมืองกันคนละขั้ว ใช่-ความระยำตำบอนแบบนี้ นายจาตุรนต์ก็ไม่เคยออกมาชี้
แต่ระยะถัดมา เมื่อหยุดพรรคการเมืองมิให้เคลื่อนไหว มิให้สื่อสาร เพราะการสื่อสารในช่วงเวลานั้น เป็นการ “ตอกลิ่มความขัดแย้ง” ผ่านมาสักระยะหนึ่ง เมื่อบ้านเมืองมี “รัฐธรรมนูญ” แล้ว และรัฐธรรมนูญก็กำหนด“โรดแมป” อย่างเสร็จสรรพแล้ว ทำไม คสช. ไม่ค่อยๆ ผ่อนคลายคำสั่งต่างๆ เพื่อให้พรรคการเมืองทั้งหลาย ได้ค่อยๆ ปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน เช่น เลือกหัวหน้าพรรคใหม่ เลือกกรรมการบริหารพรรค ประชุมพรรค กำหนดนโยบาย ฯลฯ บ้างล่ะครับ
ในเมื่อรัฐธรรมนูญ ยังคงใช้กลไกของ “รัฐสภา” เป็นเครื่องมือบริหารประเทศ รัฐสภาต้องมี “นักการเมือง-พรรคการเมือง” ใช่ไหม แถมคนทั้งบ้านทั้งเมือง รวมทั้ง คสช. เอง ก็เรียกร้องให้พรรคการเมืองปฏิรูปตัวเอง แต่การไม่ให้เขาทำอะไรเลย เขาจะเอาเวลา เอากลไกลตอนไหนไป “ปรับปรุง-ปฏิรูป” ล่ะครับ และในเวลาที่เขาถูกสตัฟฟ์ไว้นั้น กฎหมาย ทั้งในรัฐธรรมนูญ ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และในพระราชบัญญัติอีกหลายฉบับ ก็พยายามปรับเปลี่ยน อุดช่องโหว่ที่นักการเมืองชั่วๆ จะใช้กระทำการเลวทรามไปตั้งเยอะตั้งแยะแล้วนี่ครับ เช่น ล่าสุดที่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก็คือ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ก็เป็นมาตรการป้องกันนักการเมืองเอางบประมาณไปทำนโยบายประชานิยมสุดโต่ง หวังคะแนนนิยม โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติจะล่มจม วินัยการเงินการคลังจะเสียหายหรือไม่
ในระยะหลังนี้ การ “บอนไซ” คือ ตอนไม่ให้มันทำอะไรได้เลย จึงไม่นับว่า “เป็นธรรม” และเป็นประโยชน์ ผิดไปจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามลำดับขั้นของสถานการณ์บ้านเมือง ที่ควรจะเป็น ที่ควรจะเตรียม เพราะถึงที่สุด ประชาชนก็ต้องใช้อำนาจผ่านพรรคการเมืองและนักการเมืองอยู่ดี
2) ทำลายพรรคการเมืองเดิมให้อ่อนแอ สร้างปัญหาความยุ่งยาก ทำให้จำนวนสมาชิกน้อยลง มีอุปสรรคในการสื่อสารกับสมาชิก กับประชาชน จริงไหม?
การหยุดการเคลื่อนไหวทั้งปวงของพรรคการเมืองเดิม ซึ่งมีสมาชิกของเขา มีอุดมการณ์ของเขา มีแนวทางของเขา ทำได้ในสถานการณ์หนึ่ง แต่ควรค่อยๆ ผ่อนคลายเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เช่น เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดโรดแมปชัดเจนแล้วว่า หากกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับ คือ ฉบับที่ว่าด้วยพรรคการเมือง, กกต., สส. และ สว. ผ่านแล้ว ให้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งได้ โดยที่กฎหมายรัฐธรรมนูญอื่นๆ ก็เขียนตามไป
ปรากฏว่า เมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองออกมา คสช. กลับขัดขวาง ด้วยการออกคำสั่งที่ 53/2560 มิให้ดำเนินการตามกฎหมายนั้น นี่คืออะไร ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ? ไม่สนใจรัฐธรรมนูญ? แล้ว สนช. ซึ่งเป็น “แม่น้ำสายหนึ่ง” ของ คสช. ก็หยิบคำสั่งนี้ไปอ้าง เพื่อจะ “ยืดเวลา” การบังคับใช้กฎหมาย การเลือกตั้งสส. ออกไปอีก 90 วัน เหมือนเป็นการเขี่ยลูก รับลูกกัน เพื่อจะอยู่ในอำนาจให้นานขึ้นใช่หรือไม่
จากนั้นกำหนดให้ “ยืนยันสมาชิกภาพ” ทั้งๆ ที่ กกต. มีการปรับปรุงข้อมูลปัจจุบันของคนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว และการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเดิม เขาไม่ได้ผิดอะไร ไปยกเลิกสิทธิที่เขามีอยู่ทำไม ควรประกาศว่า ใครไม่ประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดแล้ว ให้ตรวจสอบและแจ้งยกเลิก
มันจะถูกต้องกว่าไหม
บอกว่าประชาชนควรเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเยอะๆ เพื่อร่วมกำหนดทิศทางและเป็นเจ้าของพรรคแทนนายทุน แต่สร้างอุปสรรคสารพัด เช่น ต้องจ่ายค่าสมาชิก ต้องมายืนยันด้วยตัวเอง และไปสมัครงานในบางตำแหน่งของบางหน่วยงาน ห้ามเป็นสมาชิกพรรคการเมือง อ้าว! แล้วคนเขาจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไปทำไมล่ะ
มาตรการทั้งหมดจึงออกมาเพื่อ “ทำลายฐานสมาชิกเดิม” ของพรรคการเมืองเก่า ในเวลาเดียวกัน ตัวเองก็เริ่มมีพฤติกรรม “ส่อว่าจะตั้งพรรคการเมืองใหม่” และชัดเจนแล้วว่า มีบางพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่ ประกาศหนุนตนเองเป็นนายกฯ ในสมัยหน้า มาตรการที่ออกมา จึงเหมือนเป็นการทำลาย-เอาเปรียบ ในเวลาที่อำนาจอยู่ในมือของตัวเอง ถามว่ามันสง่างามไหม? การลดฐานสมาชิกของเขาลง คือการ “ตัดตอนการสนับสนุนทางการเงิน” จาก กกต. ด้วยใช่ไหม ให้มันตายไป จากสมาชิกที่ลดลง และเงินสนับสนุนตามกฎหมายที่ลดลง
3) ตั้งหัวหน้าพรรค “พลังชล” เข้าทำงาน
มาถึงหัวใจของเรื่อง ในเวลาที่ปิดกั้น สร้างอุปสรรค ยืดเวลา ฯลฯ สารพัดที่จะทำกับพรรคการเมืองอื่นๆ ตัวเองก็ไปหยิบเอาหัวพน้าพรรคพลังชลมามีตำแหน่ง ยิ่งอ้างว่า มาช่วยงาน “อีอีซี” ยิ่งไม่มีความชอบธรรม เพราะในขณะที่คุณห้ามคนอื่นทำอะไรทั้งสิ้น คุณกลับหนุนให้หัวหน้าพรรคการเมืองคนหนึ่งเข้าถึงอำนาจและทรัพยากร ได้ไปทำงานใน “พื้นที่” ที่วันข้างหน้า ตัวเองจะต้องแข่งขันกับคนอื่นเพื่อชนะการเลือกตั้ง โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เพราะเอาทุนและตำแหน่งที่ได้รับ ไปสร้างผลงาน ยุติธรรมไหมครับ ถูกต้องไหมครับ
ดังนั้น สิ่งที่จาตุรนต์พูด ไม่ได้ผิดเสียทั้งหมดหรอก หรือเพราะจาตุรนต์ไม่เคยสู้เพื่อความถูกต้องตามหลักการอย่างนี้มาก่อน เราเลยไม่ต้องใส่ใจก็คงไม่ใช่
จาตุรนต์พูดถูก กับจาตุรนต์เคยร่วมกับทักษิณทำในสิ่งที่เขาติติง คสช. เป็นเรื่องที่ต้องแยกกัน ถูกส่วนถูก ชั่วส่วนชั่ว เราอยากเห็นประชาชนรู้จัก “แยกแยะ” มากกว่ามองหาแต่ “ความถูกใจ” หรือ “ความน่ารังเกียจ”
อะไรถูกต้องบอกว่าถูก อะไรดีอะไรชั่วต้องกล้าบอกกล่าว เมื่อประชาชนแข็งแรงในหลักการ และความกล้าหาญทางจริยธรรม บ้านเมืองก็จะแข็งแรงด้วย ไม่ตั้งอยู่บนความเป็นขั้ว-ข้าง เหมือน-ต่าง มึง-กู อีกต่อไป
และประชาชนควรส่งสัญญาณถึง “ลุงตู่” ว่า อย่ามัวแต่เอาปัญหาทางการเมืองของตัวเองเป็นตัวตั้งในการวางทิศทาง “อนาคตของชาติ” แต่ให้เอา “ปัญหาของชาติ” กำหนดการแก้ไขในอนาคต
เช่น อีก 5 ปี เราจะเป็น “สังคมสูงวัย” คนแก่เต็มบ้านเต็มเมือง ขณะที่ปัจจุบัน คน Gen.Y หนี้ท่วมหัว เครดิตติดลบ วันข้างหน้าเขาจะแบกสังคมไทยไหวมั้ย คนแก่จะนอนกลิ้งเกลือกข้างถนนเหมือนหมาแมวจรจัดสักขนาดไหน
ลุงตู่ควรตอบโจทย์บ้านเมืองตอนที่เข้ามายึดอำนาจใหม่ๆ ว่า บ้านเมืองต้องการให้ท่านแก้ปัญหาด้วยการปราบปรามการทุจริตในอดีตและปัจจุบัน ต้องการให้ท่านสร้างกติกาตรวจสอบและป้องกัน
การทุจริตในวันข้างหน้า อะไรที่ต้องปฏิรูปก็ปฏิรูปซะ และสร้างความรับรู้เรื่อง “ระบบตัวแทนที่ดี” ให้แก่ประชาขน เพื่อวันข้างหน้า เขาจะได้ไม่เลือกตัวแทนชั่วๆ เข้ามาสมคบกันกัดกินบ้านเมือง ทำลายหลักการที่ถูกต้อง แค่นั้น แล้วคืนบ้านเมืองกลับมาสู่การ “เลือกตัวแทน” ของประชาชน โดยประชาชน ซึ่งลุงตู่จะเสนอตัวมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเลือกกับคนอื่นๆ ด้วยก็ไม่มีใครว่า
แต่ไม่ใช่เอาอำนาจที่มี ที่ได้เปรียบกว่า มาปูทางอย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่
“พลังชล” ที่คนไม่ได้ประจักษ์แจ้งในความรู้ความสามารถ แต่ได้เข้ามาร่วมใช้อำนาจ เขาก็อ่านได้อย่างเดียวว่า เอาเข้ามาเป็น “ฐานรองตีน” สู่อำนาจการเมืองในอนาคต!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี